25 ต.ค. 2550

สูตรในการคิดความมั่งคั่งของตัวเอง

ถ้าถามคนทั่วไปว่าเขามีเงินหรือความมั่งคั่งแค่ไหน ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ต้องใช้เวลาคิด ไม่ใช่ว่าเขามีมากเสียจนนับไม่ไหวแต่เป็นเพราะว่าคนทั่วไปมักจะไม่ได้สนใจคำนวณหรือติดตามว่าทรัพย์สมบัติของตนนับแล้วที่เท่าไรคนส่วนมากคงรู้ว่าเงินในบัญชีของตนเป็นเท่าไรในแต่ละช่วงแต่ทรัพย์สมบัติอย่างอื่นทั้งหมดเมื่อนำมารวมกันหักด้วยหนี้สินซึ่งทำให้ได้ค่าของความมั่งคั่งนั้นคนจำนวนมากไม่ได้คิดถึง

เรื่องของความมั่งคั่งโดยเฉพาะของคนที่เป็นลูกจ้างกินเงินเดือนประจำที่เป็นกลุ่มคนชั้นกลางของไทยนั้นผมคิดว่ามีคนศึกษาน้อยมากว่าที่จริงเรื่องที่เกี่ยวกับเงินๆทองๆของคนชั้นกลางซึ่งเติบโตขึ้นเรื่อยๆและมีความสำคัญต่อธุรกิจที่ขายของให้กับคนชั้นกลางนั้นเรายังมีความรู้น้อยมาก

ผมเองไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ข้อมูลความมั่งคั่งของใครในอาชีพของตนเองแต่บางครั้งก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเพื่อนที่มีพื้นฐานการเรียน การทำงาน และอาชีพคล้ายๆกันหลังจากทำงานมากว่า 20 ปี บัดนี้มีทรัพย์สมบัติที่เกิดจากความมั่งคั่งเท่าไรแล้ว เหตุผลหนึ่งก็เพื่อจะได้เปรียบเทียบความมั่งคั่งของตนเอง เพื่อจะดูว่าเราทำได้ดีแค่ไหนทางการเงิน พูดง่ายๆก็คืออยากจะมีดัชนีชี้วัดความมั่งคั่งเอาไว้เป็นมาตราฐานเปรียบเทียบ

การหาดัชนีวัดความมั่งคั่งของมนุษย์เงินเดือนนั้น ถ้าจะให้ถูกต้องก็คงต้องมีการออกสำรวจ สอบถาม คนจำนวนมากเป็นเรื่องเป็นราว ผมเองยังไม่เห็นการศึกษาแบบนั้นแต่จากการคุยกับเพื่อนบ้างและจากการศึกษาและการคำนวณบนกระดาษโดยใช้สมมุติฐานบางอย่างผมก็ได้สมการซึ่งน่าจะนำมาใช้อ้างอิงได้อย่างหยาบๆว่าคนที่มีรายได้ประจำแต่ละคนหรือแต่ละครอบครัวควรมีความมั่งคั่งเท่าไร

สูตรของผมก็คือ ความมั่งคั่งของคนมีรายได้ประจำควรมีช่วงระหว่าง 0.1 x รายได้ต่อปี x อายุ ถึง 0.15 x รายได้ต่อปี x อายุ ยกตัวอย่างเช่นถ้าคุณเป็นผู้บริหารระดับสูงของสถาบันการเงินมีเงินเดือนเดือนละ 200,000 บาท มีโบนัสปีละสองเดือน และ คุณอายุ 50ปี คุณควรจะมีความมั่งคั่งระหว่าง 0.1 x (200,000 x 14) x 50 หรือ 14 ล้านถึง 21 ล้านบาท

ถ้าข้อเท็จจริงก็คือคุณมีทรัพย์สมบัติทั้งหมดหลังจากหักหนี้สินที่มีอยู่น้อยกว่า 14 ล้านบาท ผมคิดว่า คุณคงจะเป็นคนที่ ใช้จ่ายฟุ่มเฟื่อยหรือไม่ก็คงจะมีภาระในการเลี้ยงดูลูกเมียหรือสนับสนุนคนอื่นมากจนทำให้คุณมีความมั่งคั่งต่ำกว่าเพื่อนๆ ที่มีสถานะในระดับเดียวกัน

ตรงกันข้ามถ้าคนมีความมั่งคั่งมากกว่า 21 ล้านบาท ผมคิดว่าคุณคงเป็นคนที่มัธยัสและหรือมีภาระที่จะต้องใช้จ่ายเงินน้อย หรืออาจจะมีความสามารถในการหารายได้อื่นหรือประสบความสำเร็จจากการลงทุนในเงินที่มีอยู่

แน่นอนว่าคนที่มีภรรยาทำงานประจำด้วยและมีลูกน้อยคนโอกาสที่ความมั่งคั่งจะสูงกว่าครอบครัวที่สามีทำงานเพียงคนเดียวและมีลูกหลายคนก็คงจะมีมาก เพราะรายได้จะเป็นสองคนในขณะที่รายจ่ายกลับน้อยกว่า

สูตรความมั่งคั่งข้างต้นนั้นคงจะใช้ได้ดีสำหรับคนที่มีอายุเกิน 35-40 ปีขึ้นไปแล้ว สำหรับคนที่อายุ น้อยเพิ่งทำงานได้เพียงไม่กี่ปี สูตรนี้คงจะต้องปรับลดลงมาเหตุเพราะว่าคนที่อายุการทำงานน้อยโอกาสที่จะสะสมเงินจะยังมีน้อย และที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันก็คือ เงินสะสมและนำไปลงทุนนั้นยังมีเวลาเติบโตน้อย หรือถ้าเป็นการลงทุนซื้อบ้านราคาก็ยังไม่ปรับตัวขึ้นมามากที่จะทำให้ความมั่งคั่งเพิ่มสูงขึ้น

นอกจากมีข้อจำกัดเรื่องอายุแล้วสมการความมั่งคั่งดังกล่าวยังเป็นเรื่องที่คิดจากอดีตที่ผ่านมาซึ่งภาวะเศรษฐกิจไทยเติบโตเร็วมากและที่สำคัญผลตอบแทนจากการฝากเงินธนาคารอยู่ในระดับที่สูงมากจนมนุษย์เงินเดือนไม่จำเป็นต้องบริหารเงินเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่เหมาะสม

ดังนั้นคนที่จะใช้ดัชนีชี้วัดความมั่งคั่งดังกล่าวในอนาคตเพื่อที่จะวัดผลงานของตนเองจะต้องตระหนักว่า การลงทุนในทรัพย์ที่เก็บออมไว้จะต้องมีการศึกษาและวางแผนเป็นอย่างดีโดยหลักการใหญ่ก็คือจะต้องพยายามให้ได้ผลตอบแทนประมาณ 10% ต่อปีโดยเฉลี่ยทุกปี ของความมั่งคั่งทั้งหมดนอกจากนั้นจะต้องกระจายการถือครองทรัพย์สมบัติอย่างเหมาะสมทั้งที่เป็นที่ดิน บ้าน ตราสารการเงิน หุ้น เงินฝากธนาคารและรวมถึงการกู้เงินถ้ามี

นับจากนี้ไปมนุษย์เงินเดือนที่หวังจะสร้างความมั่งคั่งให้กับตนเองในอนาคตจะต้องศึกษาเรื่องการเงินส่วนบุคคลอย่างจริงจังซึ่งรวมไปถึงการคิดคำนวณรายได้และค่าใช้จ่ายอย่างเป็นระบบโดยมีกฎเหล็กก็คือรายได้จะต้องมากกว่ารายจ่ายและเหลือเงินเก็บไม่น้อยกว่า10%โดยที่วิธีเพิ่มรายได้ถ้าจำเป็นนั้นมีวิธีการมากมายเช่นเดียวกับการตัดรายจ่ายต่างๆซึ่งก็ง่ายไม่แพ้กันถ้ามีความตั้งใจจริง

เรื่องสำคัญไม่น้อยไปกว่ารายได้และค่าใช้จ่ายก็คือการลงทุนซึ่งมนุษย์เงินเดือนยุคใหม่จะต้องเรียนรู้ เริ่มตั้งแต่การซื้อบ้านซึ่งในอดีตมักจะมองแต่เฉพาะความสามารถในการผ่อนและขึ้นอยู่กับความพึงพอใจผมคิดว่าจะต้องเปลี่ยนไปเป็นการพิจารณาในประเด็นของความเหมาะสมในแง่ของการลงทุนด้วยเพราะการซื้อบ้านที่ใหญ่เกินไปและลงทุนมากเกินสมควร ในที่สุดจะเป็นภาระและดึงให้ผลตอบแทนของทรัพย์สินรวมต่ำลง

การลงทุนที่สำคัญที่สุดสำหรับคนกินเงินเดือนในอนาคตก็คือเรื่องเกี่ยวกับหุ้นเพราะผมคิดว่าการฝากเงินในธนาคารนับจากนี้ไปคงให้ผลตอบแทนที่ต่ำไปอีกนานมากคล้ายๆกับในประเทศอย่างญี่ปุ่นหรือเกาหลีที่อัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นสิบๆปี เพราะประเทศมีเงินเหลือเฟือ ดังนั้นการที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับเงินในอนาคตจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องลงทุนในหุ้น

การลงทุนในหุ้นที่จะให้ผลตอบแทนที่เหมาะสมคืออย่างน้อยประมาณ 10 %ต่อปี ผมคิดว่ามีเพียงสองวิธี ถ้าคุณไม่ใช่เซียนเล่นหุ้นจริงๆก็คือ การลงทุนในหน่วยลงทุนหุ้นที่มีอยู่มากมายพยายามเลือกหน่วยลงทุนที่กระจายการลงทุนมากที่สุด อย่าลงในกองทุนที่ลงเฉพาะหุ้นบางประเภทเช่นหุ้นไฮเทค หุ้นพลังงาน หรือแม้แต่หุ้นปันผลเมื่อเลือกบริษัทที่ดีมีมาตราฐานแล้วก็ถือหน่วยลงทุนไว้ยาวนานหรือตลอดไป

ถ้าต้องการผลตอบแทนที่ดีขึ้นจากการลงทุนในหุ้นคุณจะต้องศึกษาวิธีการลงทุนอย่างลึกซึ้ง และแน่นอนต้องเป็นการลงทุนแบบValue Investmentที่จะช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนจนคุณรู้สึกสบายใจที่จะลงทุนเองและถือหุ้นไว้ยาวนานแทบจะตลอดชีวิต

ทำได้ดังที่ว่าผมเชื่อว่าคุณจะเป็นมนุษย์เงินเดือนผู้มั่งคั่งและมีทรัพย์สินเหนือกว่าดัชนีอย่างแน่นอน

ไม่มีความคิดเห็น: