26 มิ.ย. 2554

การนอนกัดฟัน (Bruxism) ทำลายสุขภาพมากกว่าที่คิด


การนอนกัดฟัน (Bruxism)

เป็นการขบเคี้ยวฟันที่ไม่ใช่การทำงานตามหน้าที่ที่ถูกต้อง อาจเกิดขึ้นในขณะนอนหลับ หรืออาจเกิดขึ้นได้ในเวลากลางวัน ขณะที่นั่งทำงานเผลอๆ หรือในขณะที่มีความเครียด การนอนกัดฟันมักจะเกิดขณะที่นอนหลับไม่ลึก หรือหลับไม่สนิท การใช้ฟันขบเขี้ยวเคี้ยวกันในเวลาที่ไม่ได้กินอาหาร เชื่อว่าเป็นการทำงานที่ไม่ถูกต้องทั้งสิ้น และไม่เกิดผลดีใดๆ มีแต่ผลเสียต่างๆ ดังนี้

•กล้ามเนื้อทำงานมากกว่าปกติ
•ฟันสึก
•ทำให้ปวดที่ข้อต่อขากรรไกรได้

การนอนกัดฟัน ทำให้ฟันในปากสึกกร่อนเร็วกว่าปกติมีอาการเสียวฟัน และอาจจะทำให้ฟันแตกได้ บางรายทำให้เกิดการเจ็บบริเวณหู เจ็บข้อต่อขากรรไกร และถ้าฟันสึกมากๆ อาจจะทำให้ใบหน้าสั้นกว่าปกติ และสิ่งสำคัญที่สุด คือ ก่อให้เกิดความรำคาญ และเสียสุขภาพจิตแก่คนนอนร่วมห้องเดียวกัน

อาการนอนกัดฟันที่เกิดขึ้นมานั้นอาจจะไม่มีผลเสียใดๆ ต่อโครงสร้างต่างๆ ภายในช่องปากเลย หรืออาจจะทำให้เกิดอาการต่างๆ ขึ้นได้มากมายเลยก็ได้ อาการที่มักจะเกิดเมื่อมีอาการนอนกัดฟัน คือ ฟันสึกอย่างรุนแรง เกิดอาการปวด ตึง หรืออ่อนแรงของกล้ามเนื้อ เกิดความผิดปกติที่ข้อต่อขากรรไกร อาการปวดศีรษะ อาจพบว่าในผู้ที่ใส่ปลอมแบบติดแน่นอยู่ ฟันปลอมที่ใส่อาจจะถูกทำลายลงในระยะเวลาเพียง 6-9 เดือน อ้าปากไม่ขึ้น มีเสียงดังที่ข้อต่อขากรรไกรขณะอ้าหรือหุบปาก ซึ่งอาการต่างๆ เหล่านี้อาจเกิดขึ้นเพียงอาการใดอาการหนึ่ง หรือเกิดพร้อมๆ กันทุกอาการเลยก็ได้

อาการ

1.ลักษณะการเกิดอาการนอนกัดฟัน จะมีความแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย และพบว่าแม้แต่ในผู้ป่วยคนเดียวกัน จะมีอาการนอนกัดฟันที่แตกต่างกันไป ในการนอนแต่ละคืนอีกด้วย

2.พบว่าการนอนกัดฟันมีแนวโน้มที่จะสัมพันธ์ กับความเครียดในชีวิตประจำวัน หรือเกิดในช่วงชีวิตของผู้ป่วยที่มีปัญหาทางด้านร่างกาย หรือจิตใจ ในผู้ป่วยบางรายจะมีอาการนอนกัดฟัน ในช่วงสัปดาห์ที่มีปัญหาเรื่องงาน ในสตรีที่กำลังมีรอบเดือน หรือในผู้ป่วยบางคนก็อาจจะไม่มีระยะเวลา หรือวงจรที่แน่นอนของการนอนกัดฟันก็ได้

3.ผู้ป่วยเป็นจำนวนมากที่ไม่ทราบว่าตัวเองมีอาการนอนกัดฟันอยู่ พบว่ามีเพียง 10% ของผู้ใหญ่ และ 5% ของเด็กที่นอนกัดฟันเท่านั้นที่ทราบว่าตัวเองมีอาการนอนกัดฟัน ซึ่งคนเหล่านั้นมักจะทราบว่าตัวเองนอนกัดฟันจากการได้ยินเสียงนอนกัดฟันของตัวเอง หรือจากเพื่อน หรือคนที่นอนใกล้ๆ แจ้งให้ทราบ


สาเหตุ

1.เกิดจากมีสิ่งกีดขวางการทำงานของฟันในขณะบดเคี้ยว สิ่งกีดขวางเหล่านี้จะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการกัดฟันหรือขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขึ้น หรืออาจเกิดจากโรคปริทันต์ที่มีการเจ็บปวดพื้นผิวของริมฝีปาก กระพุ้งแก้ม เป็นต้น

2.มีการศึกษามากมาย ที่พยายามจะอธิบายถึง สาเหตุของอาการนอนกัดฟัน และมีหลักฐานยืนยันแล้วว่า สภาพของจิตใจและอารมณ์ มีส่วนสัมพันธ์กับการนอนกัดฟัน ระดับอาการของการนอนกัดฟัน จะมีความแตกต่างกันมากในผู้ป่วยแต่ละราย โดยจะมีส่วนสัมพันธ์กับความเครียด ภาวะอารมณ์ และภาวะฉุกเฉินที่มีในชีวิตประจำวัน เช่น การหย่าร้าง การตกงาน หรือช่วงการสอบคัดเลือก เป็นต้น ความวิตกกังวลในเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นก็สามารถทำให้เกิดอาการนอนกัดฟันได้ ประสบการณ์ทางอารมณ์ในช่วงที่เราตื่นนอนอยู่ จะไปมีอิทธิพลต่อช่วงที่เรานอนหลับได้ในหลายๆด้าน แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีท่านใดสามารถหาคำอธิบายถึงสาเหตุของเหตุการณ์นี้ได้

3.ความเครียดทางจิตใจ เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการขบเขี้ยวเคี้ยวฟันได้ในขณะที่อยู่เฉยๆ หรืออาจจะ เกิดในขณะนอนหลับได้ ความเครียด ทางจิตใจที่เกิดจากการข่มระงับ อารมณ์ไว้ ไม่ให้แสดงความก้าวร้าว ดุดัน อารมณ์เคร่งเครียดเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการนอนกัดฟัน

4.บางรายอาจเกิดจากการฝัน การสบขอบฟันที่ผิดปกติ ฟันซ้อนเก โรคในช่องปาก ฟันผุ เหงือกอักเสบ

5.ผู้ป่วยที่มีอาการนอนกัดฟันจะมีบุคลิกภาพ และอารมณ์แตกต่างจากคนปกติทั่วไป กล่าวคือ จะมีบุคลิกภาพที่มีแนวโน้มที่จะเกิด หรือเพิ่มความเครียดได้ง่าย เป็นคนที่มีอารมณ์ก้าวร้าว และเป็นคนที่วิตกกังวลได้ง่าย แต่มักไม่พบว่ามีความผิดปกติ ของระบบประสาทเข้ามาร่วมด้วย

6.อาการนอนกัดฟัน อาจมีสาเหตุมาจากยาที่รับประทานก็ได้ ยาที่เคยมีรายงานว่าทำให้เกิดอาการนอนกัดฟันได้ คือ แอมเฟตามีนที่ใช้ร่วมกับ L-dopa, ยา fenfluramine ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของแอมเฟตามีน และมีรายงานว่า พบการนอนกัดฟันในผู้ป่วยที่เป็นโรค Tardive Dyskinesia ซึ่งเชื่อว่าเป็นผลมาจากการใช้ยา phenothiazine เป็นระยะเวลานาน นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ จะสามารถทำให้เกิดอาการนอนกัดฟันได้


การวินิจฉัย

1.จากประวัติอาการ
2.พบทันตแพทย์เพื่อตรวจสภาพการทำงานของฟันขณะบดเคี้ยว
3.ในผู้ที่มีอาการนอนกัดฟันทั้งหมด จะมีเพียงร้อยละ 20 เท่านั้นที่จะทำให้เกิดเสียงที่สามารถได้ยินได้ ดังนั้นการที่จะให้การวินิจฉัยว่าตัวเองนอนกัดฟันนั้น จึงจำเป็นที่ต้องอาศัยการตรวจอย่างละเอียดโดยทันตแพทย์ โดยทันตแพทย์จะพิจารณาองค์ประกอบอีกหลายๆ อย่าง อาทิเช่น ลักษณะการสึกของฟัน ลักษณะของกล้ามเนี้อ และอื่นๆ โดยเฉพาะอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อขากรรไกรเมื่อตื่นนอนขึ้นมา มักจะเป็นลักษณะที่พบมากในคนที่นอนกัดฟัน


การรักษา

1.เมื่อทันตแพทย์ปรับการสบของฟันให้ถูกต้องแล้ว การนอนกัดฟันอาจจะลดน้อยลงหรือหายไป หรือทันตแพทย์จะต้องแก้ไขโรค ปริทันต์ พื้นผิวของริมฝีปาก กระพุ้งแก้ม ที่มีการระคายเคืองออกให้หมด จะช่วยลดการนอนกัดฟันได้

2.แก้ไขสาเหตุของความ เครียด แต่ในขณะที่ยังแก้สาเหตุความเครียดไม่ได้ ให้พบทันตแพทย์เพื่อทำเครื่องมือไปใช้ใส่ขณะนอน เพื่อป้องกันไม่ให้กัดลงบนฟันแต่ให้กัดลงบนเครื่องมือแทน ฟันจะได้ไม่สึก

3.การใส่เครื่องมือนี้จะช่วยเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยหรือความเคยชินในการขบเขี้ยวเคี้ยวลักษณะเดิมได้ ซึ่งต่อไปสักระยะหนึ่งจะทำให้เลิกนอนกัดฟันได้

4.การทำสมาธิเพื่อให้นอนหลับสนิท รวมถึงการกินยานอนหลับและยาคลายกล้ามเนื้อก่อนนอนคงทำให้อาการลดน้อยลง

5.การใส่เฝือกฟันบนและ/หรือฟันล่างตามคำแนะนำของทันตแพทย์ ใส่นอนไปชั่วระยะเวลาหนึ่งอาการจะดีขึ้น การทำเฝือกฟันนั้นไม่ยาก เพียงไปพบทันตแพทย์ ทันตแพทย์จะพิมพ์แบบและทำเฝือกฟันเฉพาะบุคคลซึ่งมีลักษณะคล้ายกับยางกันฟันของนักมวยหรือนักกีฬา

6.ราคาการทำเฝือกฟันโดยประมาณ 300-500 บาท หรืออาจมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับคุณภาพของเฝือกฟัน




ที่มา : นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ

19 มิ.ย. 2554

จิงจูฉ่าย สุดยอดสมุนไพรจีนบำรุงเลือดลม




ใครที่เคยสั่ง "เกาเหลาเลือดหมู" มาทาน เคยสงสัยกันไหมว่า ในชามเกาเหลาของเราจะมีผักสีเขียวชนิดหนึ่ง ที่ไม่ใช่ผักกาดหอม ขึ้นฉ่าย หรือใบตำลึงใส่ชามมาด้วย หลายคนไม่ทราบว่าเจ้าผักชนิดนี้มีชื่อเรียกว่าอะไร แล้วมีสรรพคุณอย่างไร เอ้า...ใครที่ไม่รู้ ตามกระปุกดอทคอมมาเลยค่ะ

เจ้าผักชนิดนี้เรียกว่า "จิงจูฉ่าย" ค่ะ หรือที่ชาวต่างชาติเรียกว่า "เซเลอรี่" (Celery) เป็นผักสมุนไพรชนิดหนึ่งของจีน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Apium graveolens L. ลักษณะต้น "จิงจูฉ่าย" จะเป็นกอคล้ายใบบัวบก สามารถเจริญงอกงามได้ดีในที่ที่มีแสงแดดรำไร ชื้น ดินโปร่งแต่ไม่แฉะ ชอบอากาศเย็นมากกว่าอากาศร้อน



คุณค่าทางโภชนาการของ "จิงจูฉ่าย" มีไม่น้อยทีเดียวค่ะ เพราะ "จิงจูฉ่าย" 100 กรัม ให้พลังงาน 392 กิโลแคลอรี ประกอบด้วยสารอาหารนานาชนิด คือ โปรตีน, ไขมัน, คาร์โบไฮเดรต, เส้นใย, แคลเซียม, เหล็ก, ฟอสฟอรัส, วิตามินเอ, วิตามินบี6, วิตามินซี และวิตามินอี

มาที่สรรพคุณทางยากันบ้างดีกว่า จุดเด่นของ "จิงจูฉ่าย" คือมีกลิ่นหอม คล้าย ๆ กับตั้งโอ๋ ยิ่งโดนความร้อนจะยิ่งหอม และยิ่งเพิ่มสรรพคุณมากขึ้น โดยกลิ่นหอมของ "จิงจูฉ่าย" มาจากน้ำมันหอมระเหยที่มีอยู่ในลำต้นและใบนั่นเอง ประกอบด้วยสารไลโมนีน ซิลนีน และสารกลัยโคไซด์ที่มีชื่อว่า อะปิอิน ซึ่งสารเหล่านี้มีสรรพคุณช่วยปรับสมดุลความดันโลหิต จึงเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเรื่องความดัน แถมยังช่วยขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ด้วย ส่วนต้นสด และเมล็ดของ "จิงจูฉ่าย" มีโซเดียมต่ำ จึงดีต่อผู้ป่วยโรคไต

นอกจากนี้ ในทางการแพทย์เชื่อว่า "จิงจูฉ่าย" เป็นยาเย็น จึงช่วยบำรุงปอด ช่วยฟอกเลือด เลือดลมหมุนเวียนได้สะดวก คนจีนจึงนิยมนำผักชนิดนี้มาปรุงเป็นอาหารรับประทานในหน้าหนาว เพื่อช่วยในเรื่องการไหลเวียนของโลหิต ปรับสมดุลให้ร่างกายได้ดีนั่นเอง


ส่วนที่หลายคนสงสัยว่า ทำไมเราจึงมักเห็น "จิงจูฉ่าย" อยู่ในเกาเหลาเลือดหมู นั่นก็เพราะ "จิงจูฉ่าย" มีสรรพคุณช่วยดับกลิ่นคาวเลือดได้ดีด้วยค่ะ แต่จริง ๆ แล้ว "จิงจูฉ่าย" ไม่ได้ใช้ทำอาหารได้เพียงแค่ต้มเลือดหมูเท่านั้นนะ เพราะอาหารประเภทแกงจืดทั้งหลาย หรือผัดผัก ผัดฉ่าก็สามารถใช้ "จิงจูฉ่าย" เป็นส่วนผสมที่ลงตัวน่ารับประทานไม่แพ้กัน

เห็นสรรพคุณดี ๆ ของ "จิงจูฉ่าย" ขนาดนี้แล้ว ลองไปหาเมนูเด็ด ๆ มาทำรับประทานกันดูนะคะ



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ควรหรือไม่…ใช้แป้งที่จุดซ่อนเร้น


ถ้าใช้แป้งกับจุดซ่อนเร้น ชักสงสัยแล้วสิว่ามันจะทำให้มีปัญหากับสุขภาพบ้างไหม?

หลายคนนิยมทาแป้งโรยตัวเพราะทาแล้วรู้สึกว่าผิวเนียน เนื้อนวล แถมมีกลิ่นกลุ่นหอมละมุนอีกต่างหาก ใครๆ ก็เลยนิยมใช้แป้งกันอย่างแพร่หลาย ใช้กับทุกส่วนของร่างกายตั้งแต่หน้าจนถึงฝ่าเท้า ไม่เว้นกระทั่งก้นและจุดซ่อนเร้นซึ่งผู้หญิงส่วนมากให้ความเห็นว่า ช่วยให้แห้งสบายจากความชื้นโดยเฉพาะเมื่อใช้แผ่นอนามัยรองซึมซับกันเปื้อน ใช้กันตั้งแต่เด็กแบเบาะจนแก่เฒ่า แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ควบคู่มากับการใช้ชีวิตเลยก็ได้ แต่ใช้กันมากขนาดนี้ ชักสงสัยแล้วสิว่ามันจะทำให้มีปัญหากับสุขภาพบ้างไหม?

ก่อนอื่นมาดูกันว่าแป้งโรยตัวทำมาจากอะไร?

คำว่า แป้ง ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Talc มันคือแร่ธาตุชนิดหนึ่งซึ่งเป็นหินที่มีอยู่ในธรรมชาติ ที่มีชื่อเรียกเล่นๆ ว่า soapstone หรือ steatite ส่วนประกอบทางเคมีก็คือ hydrate magnesium silicate แต่มันอาจมีสารอื่น เช่น คลอไรต์ (chlorite) ร่วมด้วย เรารู้จักแป้งกันดีเมื่อมันถูกนำมาใช้งานในรูปของผงฝุ่นแป้ง และเพราะคุณสมบัติของแป้งที่ดีในเรื่องของการทนไฟทนกรด ต้านทานต่อการนำไฟฟ้า ช่วยการผสมผสานและดูดซึมซับความชื้นทำให้พื้นผิวที่มันเคลือบอยู่แห้ง เนียนลื่นไม่ดูดติดกันเป็นสิ่งที่ทำให้มันถูกนำมาใช้ประโยชน์ในทุกวงการทั้งในภาคอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะทำสี ทำสารหล่อลื่น เซรามิคกันไฟ แก้ว ยาขัดล้างทำความสะอาด กระดาษ ยาง ฯลฯ จนถึงยาและเครื่องสำอาง ตั้งแต่แป้งฝุ่นทาหน้า แป้งเด็ก สบู่ ครีมทาผิว น้ำยาดับกลิ่นตัว ฯลฯ เมื่อใช้แป้งกันมากมายในชีวิตประจำวันแล้วจะทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้หรือไม่?

อันตรายต่อสุขภาพปอด

เวลาทาแป้งตอนโรยแป้ง ผงแป้งจะลอยละล่องในอากาศ และถ้าผงฝุ่นแป้งถูกสูดเข้าทางเดินหายใจทีละเล็กทีละน้อยเป็นเวลานานๆ มันก็อาจจะสะสมอยู่ในปอด โดยที่เซลล์บุผิวปอดจะดักจับแป้งไว้เป็นก้อน เราเรียกภาวะนี้ว่า pneumoconiosis ทำให้มีปัญหากับการหายใจ และถ้าสูดเข้าครั้งละมากๆ เช่น การสำลักผงแป้งเข้าไป ก็มีรายงานหลายชิ้นบอกว่า มีเด็กทารกที่ปอดอักเสบและตายจากสาเหตุนี้ สรุปว่าแป้งอาจทำให้ปอดมีปัญหาได้
แป้งไม่ทำให้เกิดมะเร็งที่ปอด เว้นแต่ว่าแป้งนั้นจะมีใยหินแอสเบสตอส (Asbestos Fibers) ผสมอยู่ด้วย แป้งที่ใช้ทั่วไปไม่มีแอสเบสตอส และแป้งที่มีแอสเบสตอสอยู่ก็มีจากแห่งเดียวในแหล่งแป้งของอเมริกา ซึ่งทำเหมืองในกิจการของการค้นคว้าวิจัยเท่านั้นไม่เอามาใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ

อันตรายต่อสุขภาพรังไข่

เพราะการใช้แป้งที่ก้นกับอวัยวะเพศมีมากจนเป็นแฟชั่นฮิตอีกอย่างหนึ่ง ในช่วงต้นของยุคปี ค.ศ. 1970 ก็เลยมีการสงสัยว่าแป้งทำให้เกิดมะเร็งที่รังไข่ได้หรือไม่? ก็มีคนทำการค้นคว้าและย้อนถามพบว่า คนที่เป็นมะเร็งรังไข่ 43% ที่ใช้แป้งอย่างมากมายกับอวัยวะเพศ แต่พวกที่ไม่ได้เป็นมะเร็งรังไข่ 28% ก็มีการใช้แป้งกับอวัยวะเพศเช่นกัน มันทำให้อัตราเสี่ยงมีมากถึงเกือบ 2 เท่า และมีอีกมากมายกว่า 30 รายการค้นคว้าที่ได้ผลประมาณว่าเป็นแบบเดียวกันนี้ บางรายงานสรุปความเสี่ยงมากถึง 2.5 เท่า

หลังจากปี ค.ศ. 1973 ในสหรัฐอเมริกาก็ออกกฎหมายบังคับให้แป้งที่ใช้ทาตัวและเครื่องสำอางต้องปราศจากแอสเบสตอส (เพราะคิดว่าอาจเป็นเพราะแอสเบสตอสทำให้เกิดมะเร็งที่ปอดและมะเร็งที่เยื่อบุในช่องปอดและช่องท้อง) แต่ก็ยังมีรายงานในปีถัดมาเรื่อยๆ ว่ามีโอกาสเสี่ยงเกิดมะเร็งที่รังไข่สูงขึ้น 33% ในพวกที่ใช้แป้งกับอวัยวะสืบพันธุ์ และมีรายงานหนึ่งที่พบว่าต่อมน้ำเหลืองที่อุ้งเชิงกรานของคนไข้ที่เป็นมะเร็งระยะที่ 3 ของรังไข่แบบ papillary serous มีเจ้า talc อยู่ในนั้น

สรุปว่าน่าจะมีความเกี่ยวข้องของการใช้แป้งที่บริเวณอวัยวะเพศและทำให้เกิดมะเร็งของรังไข่แบบเซลล์บุพื้นผิว (epithelial cancer)โดยอาจเป็นไปได้ที่แป้งสามารถหลงเข้าไปในร่างกายผ่านช่องคลอดมดลูกและท่อนำไข่เข้าไปสู่ช่องท้อง และด้วยความเชื่อที่ว่า talc เป็นอินออร์แกนิค (สารอนินทรีย์) จึงไม่สามารถย่อยสลายได้ในคน ขณะนี้แป้งที่ใช้โรยตัวและเครื่องสำอางในอเมริกาไม่ได้ใช้ talc แล้ว แต่เปลี่ยนมาใช้แป้งข้าวโพด (corn starch) ซี่งเป็นสารออร์แกนิค (สารอินทรีย์) สามารถย่อยสลายตัวในคนได้ ซึ่งคาดว่าน่าจะปลอดภัยกว่า ถึงตอนนึ้ยังไม่มีรายงานว่ามีความเกี่ยวข้องระหว่างการใช้แป้งข้าวโพดกับการเกิดมะเร็งที่รังไข่

แป้งไทยมีส่วนผสมต่างจากแป้งเมืองนอกหรือไม่?

แป้งโรยตัวและเครื่องสำอางที่เมืองไทยทำจาก talc เชื่อว่าไม่น่าจะมีใยหินหรือแอสเบสตอสปนเปื้อน แต่เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่จะมีอันตรายต่อสุขภาพโดยเฉพาะเรื่องของมะเร็งรังไข่ดั่งรายงานทางการแพทย์ที่มีมากมาย ดังนั้นแม้แต่แป้งในอเมริกาที่เปลี่ยนไปใช้แป้งข้าวโพดแล้วก็ตาม กุมารแพทย์และสูตินรีแพทย์จึงแนะนำว่า ไม่ควรใช้แป้งหรือโลชั่นกับอวัยวะสืบพันธุ์ ดังนั้น…

• เด็กๆ ที่ต้องใส่ผ้าอ้อม สาวๆ ที่ใช้ผ้าอนามัยยามมีประจำเดือน หรือหญิงวัยทองที่มักเคยชินทาแป้งบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์อยู่เสมอนั้น ที่จริงแล้วไม่มีความจำเป็นและไม่เหมาะสมที่จะทำเช่นนั้นอีกต่อไป ใครทำอยู่ก็เลิกเสียดีกว่าค่ะ
• การดูแลสุขลักษณะบริเวณอวัยวะเพศและก้นไม่ให้อับชื้นก็คือ การล้างด้วยสบู่อ่อนแล้วล้างน้ำให้หมดสบู่ ตามด้วยการซับให้แห้งก่อนใส่ผ้าอนามัยชิ้นใหม่ และหมั่นเปลี่ยนผ้าอ้อมและผ้าอนามัยบ่อยๆ จะได้ไม่เหนอะตัว และไม่มีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์
• ถ้ารู้สึกว่ามีอาการแสบคันบริเวณก้นหรืออวัยวะเพศ ให้สังเกตและดูแลเรื่องของความชื้น หรือการแพ้ผ้าอนามัย หรือการใช้สบู่ที่มีความเป็นกรดหรือด่างมากเกินไป หรืออาจมีการติดเชื้อก็ได้ อย่านิ่งนอนใจควรไปปรึกษาแพทย์
• เมื่อรู้สึกอยากจะใช้แป้งกับอวัยวะเพศ ก็ให้นึกว่า อย่าเสี่ยงต่อการเกิดปัญหากับรังไข่ในอนาคตจะดีกว่า
• ถ้ารู้สึกไม่สบายและอับชื้นบริเวณจุดซ่อนเร้นอาจใช้วาสลีนหรือยูเรียช่วยทาเคลือบผิวและเปลี่ยนแผ่นอนามัยบ่อยๆ
• ถ้าไม่มีประจำเดือนก็ไม่ควรใช้แผ่นอนามัยรองกันเปื้อนเพราะพบได้บ่อยๆ ว่ามีอาการแพ้และผื่นขึ้นได้บ่อย
• สำหรับการทาแป้งให้เด็กๆ คุณแม่ที่ชอบบีบแป้งใส่อุ้งมือและทาไปยังบริเวณก้นและอวัยวะเพศของเด็กทีละมากๆ ควรเลิกพฤติกรรมนี้ดีกว่าค่ะ
• ถ้าจะใช้แป้งทาที่อื่นๆ ในร่างกายก็เทแป้งครั้งละน้อย และพยายามอย่าให้ฟุ้งในอากาศ เพราะจะปนเปื้อนเข้าปอดทั้งของคุณและเด็ก
• ไม่ควรให้เด็กถือกระป๋องแป้งเขย่าเล่น เพราะอาจหกใส่และสำลักหายใจเอาแป้งเข้าปอดและปอดอักเสบ ซึ่งถ้าเป็นรุนแรงมีโอกาสถึงตายได้ค่ะ
ดังนั้นทุกครั้งที่ทาแป้ง ก็ควรใช้ทีละน้อยๆ และทาในบริเวณที่เหมาะสมนะคะ จะได้ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และที่สำคัญช่วยประหยัดเงินในการซื้อแป้งเป็นโหลๆ อีกต่างหาก



ที่มา : นิตยสาร Health Today

6 วิธีง่ายๆ เพิ่ม IQ


1. ช็อกโกแลตช่วยได้
ดื่มช็อกโกแลตร้อนๆ แล้วคุณอาจรู้สึกกระปรี้กระเปร่าราวกับได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ลองเปลี่ยนจากกาแฟแก้วเดิมมาเป็นช็อกโกแลตหอมกรุ่น จะช่วยให้สมองมีพลังวังชาขบคิดปัญหาเครียสๆ แบบผู้ใหญ่ได้ดีทีเดียว นักวิจัยมหาวิทยาลัยนอตติงแฮมพบว่า สารฟลาโวนอยด์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในช็อกโกแลตที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียน เลือดไปเลี้ยงสมองใด้นานถึง 3 ชั่วโมง นพ.เอียน แมคโดนัลด์ หัวหน้าทีมวิจัย เปิดเผยว่าข้อดีของช็อกโกแลตคือ ช่วยฟื้นฟูการทำงานของสมองในช่วงที่การรับรู้ของคนเราจะแย่ลง เช่น ในขณะที่เหนื่อยล้าหรือนอนน้อย ยิ่งถ้าเป็นดาร์คช็อกโกแลตก็จะยิ่งมีฟลาโวนอยด์เข้มข้นขึ้น ลองซดช็อกโกแลตอุ่นๆ สักแก้วก่อนเข้าประชุม 10 โมงเช้ารับรองว่าสมองคุณจะแล่นปรู๊ดปร๊าดเลยเชียวล่ะ



2. ดนตรีกล่อมสมอง
"ชนใดไม่มีดนตรีกาล ในสันดาลเป็นคนชอบกลนัก" ก็ขนาดคนใช้สมองเยอะๆ อย่างอาจารย์มหาวิทยาลัยหรือนักศึกษาปริญญาเอกยังนิยมฟังเพลงกันเลย ปัญญาชนเหล่านี้บอกว่าฟังเพลงคลาสสิกของบีโทเฟนแล้วทำให้สมองผ่อนคลายได้ ทว่าผลการศึกษาครั้งใหม่กลับพบว่า ไม่ว่าจะเป็นเพลงคลาสสิกอย่างโมสาร์ตหรือเฮฟวีเมทัลกระแทกหูอย่างวงสอเตอร์ เฮดก็เพิ่มพลังให้สมองได้ทั้งนั้น สถาบัน วอทยาศาสตร์แห่งนิวยอร์กหรือ NYAS (New York Academy of Sciences) พบว่า การฟังดนตรีสุดโปรดไม่ว่าจะเป็นแนวไหนก็ตาม ล้วนส่งผลเชิงบวกต่อการรับรู้ ขณะที่วารสาร Nature รายงานว่า ถ้าให้ผู้เข้าทดสอบฟังเพลง 10 นาทีก่อนทำแบบทดสอบ พวกเขาจะทำคะแนนได้ดีขึ้น เห็นได้ชัดว่าดนครีมีส่วนอย่างมากต่อการเพิ่มระดับไอคิว ทีนี้คุณก็มีข้ออ้างในการควักกระเป๋าลงทุนกับเครื่องเสียงแจ่มๆ ที่ไพเราะเสนาะหูแล้วสิ



3. นั่งให้ปลอดโปร่ง
คุณเคยเป็นแบบนี้บ้างไหม ยิ่งนั่งจมปลักอยู่บนเก้าอี้ทำงานนานๆ สมองยิ่งตีบตันคิดอะไรไม่ค่อยออกเคล็ดลับหนึ่งที่ช่วยให้สมองโปร่งโล่งสบาย คือการนั่งเก้าอี้แสนสบาย ผลการศึกษาครั้งใหม่ระบุว่า เก้าอี้นั่งที่ไม่ค่อยสบายอาจทำให้ความคิดของคุณโดนปิดกั้นไปด้วย ผลการศึกษาที่มหาวิทยาลัยลันด์ในสวีเดนระบุว่า คนส่วนใหญ่ต้องเจอปัญหาเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอซึ่งเป็นผลจากการนั่งผิด ท่า การบีบอัดกระดูกสันหลังด้วยการนั่งหลังค่อมขณะใช้แป่นคีย์บอร์ดจะทำให้เส้น เลือดที่ไปเลี้ยงสมองหดตัว ผลคือสมองคุณจะขาดออกซิเจน ดังนั้นการเลือกเก้าอี้ทำงานดีๆ สักตัวที่ช่วยให้คุณนั่งยืดหลังตรงได้ขณะทำงาน จึงสำคัญพอๆ กับงานบนหน้าจอของคุณเลยก็ว่าได้



4. พลังจากเนื้อ
ไม่ว่าคุณจะเป็นมนุษย์ถ้ำหรือมนุษย์ทำงานจอมแกร่งกองทับต้องเดินด้วยท้องอยู่ วันยังค่ำ คุณย่อมไม่มีเรี่ยวแรงพอนัใส่เกียร์ห้าหนีเสือป่าที่จ้องจะขย้ำคอหรือเคาะ ตัวเลขในรายงานการขายให้สวยหรูได้แน่ถ้าท้องคุณร้องโครกครากดังเซ็งแซ่แบบ นี้ การหม่ำเบอร์เกอร์ดีๆ เติมกระเพาะและพลังงานให้สมองย่อมช่วยได้ ซีโมน พาร์กินสัน นักโภชนาการ แนะนำว่า "เนื้อลูกแกะอุดมไปด้วยธาตุเหล็กและวิตามินบี 12 ซึ่งดีต่อการฟื้นฟูสมองที่อ่อนล้าให้กลับมากระปรี้กระเปร่า และถ้าได้แซมไข่แดงลงไปในเบอร์เกอร์ คุณจะได้โคลีนไปเสริมสร้างการรับรู้ของสมอง ส่วนผักต่างๆ จะช่วยป้องกัยการเกิดภาวะเครียสจากการที่ร่างกายมีสารอนุมูลอิสระมากเกินไป



5. กินหนึ่งได้ถึงสอง
บางคนที่ไปยิมนอกจากจะเวิร์กเอาต์ให้ได้รูปร่างสมส่วน ยังอาจกินอาหารเสริมควบคู่กันไปเพื่อบำรุงกล้ามเนื้อ สำหรับใครที่เลือกอาหารเสริมเป็นครีเอทีนขอบอกว่าคุณตาแหลมมาก เพราะผลการศึดษาครั้งใหม่พบว่า ครีเอทีนไม่ใช่แค่ดีกับกล้ามเนื้อเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีบทบาทสำคัญต่อสมองของคุณ เพราะทั้งช่วยเสริมสร้างสมาธิและความสามารถในการประมวลผลข้อมูลและตัวเลข ต่างๆ พญ.แคโรไลน์ เร จากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ บอกว่า "อาหารเสริมชนิดนี้เพิ่มพลังให้สมองสามารถรับมือกับงานด้านการคำนวณ ตลอดจนกระบวนการคิดต่างๆ ให้ดีขึ้น" อาหารเสริมในรูปแคปซูลจะมีปริมาณครีเอทีนต่อหน่วยน้ำหนักมากกว่าแหล่งอื่นๆ ดังนั้นพกแคปซูลครีเอทีนติดตัวไปกินตอนเวิร์กเอาต์ช่วงเที่ยงก็เข้าท่าดี เพราะนอกจากจะทำให้สมองปราดเปรื่องแล้วยังทำให้กล้ามคมโตสมใจอีกต่างหาก



6. หลับฟื้นความจำ
นี่คงเป็นข่าวดีสำหรับคนชอบนอน เพราะการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอทำให้คุณฉลาดขึ้น ผลการศึกษาร่วมระหว่างคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย พบว่า การนอนหลับพักผ่อนช่วยกระตุ้นให้คุณดึงความทรงจะในเรื่องที่พึ่งเรียนรู้ไป ไม่นานกลับคืนมาได้ แม้ว่าความทรงจำนั้นจะถูกแทนที่ด้วยข้อมูลใหม่ๆ ไปแล้วหลายชั่วโมงก็ตาม นพ.เจฟฟรีย์ เอลเลนโบเกน หัวหน้สทีมวิจัย บอกว่า "นี่แสดงให้เห็นว่า การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงช่วยปกป้องความจำแต่ยังมีบทบาทสำคัญในการเก็บรวบ รวมความทรงจำเข้าด้วยกันอีกด้วยครับ" พูดง่ายๆ คือ ความทรงจำในสมองไม่แตกแถวนั่นเอง นักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดพบว่า หมอนก็มีผลต่อการนอนเช่นกัน เพราะหมอนที่รองรับสรีระร่างกายในขณะที่หลับได้ดี จะช่วยลดปัญหาการหายใจซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการหลับที่ต่อเนื่องยาวนาน ใครที่อยากนอนหลับสนิทและตื่นขึ้นมารับวันใหม่ด้วยความสดชื่นสมองแจ่มใส เห็นทีต้องลองใช้หมอนเมโมรีโฟม (Memory Foam) ซึ่งทำจากวัสดุเมโมรีโฟมที่ผ่านกระบวนย่อยเป็นปุยๆ ชิ้นเล็กๆ เสมือนเส้นใยไฟเบอร์ที่มีคุณสมบัติอ่อนนุ่มและแน่น

สูตรช่วยประหยัดค่าโทรศัพท์


สำหรับ COST DOWN (ประหยัด) ให้ตนเอง

1. หากท่านใช้โทรศัพท์ มือถือ โทรไปหามือถือค่าย AIS ไม่มีคนรับได้ยินเสียงให้ฝากข้อความ ถ้าคุณวางสายก่อนสัญญาณเสียงตู๊ดจะไม่มีการคิดเงิน หากวางสายหลังหรือจนสายตัดไปเอง จะเสียค่าโทรตามเวลา 1นาที

2.หากท่านใช้โทรศัพท์ โทรไปหามือถือค่าย DTAC ไม่มีคนรับได้ยินเสียงให้ฝากข้อความ ไม่ว่าคุณวางสายก่อนหรือหลังสัญญาณเสียงตู๊ด จะเสียค่าโทรตามเวลา 1นาที ดังนั้น หากไม่มีใครรับสายเกิน 4 ตู๊ด ให้กดสายทิ้งทันที ก่อนฝากเสียง จะได้ไม่เสียเงิน

3.หากท่านใช้โทรศัพท์ โทรไปหามือถือค่าย True ไม่มีคนรับ ได้ยินเสียงให้ฝากข้อความ ไม่ว่าคุณวางสายก่อนหรือหลังสัญญาณเสียงตู๊ด จะเสียงค่าโทรตามเวลา 1นาที ค่าโทรที่ เกิดขึ้น ทศท. จะแบ่งกับ DTAC,AIS, ORANGE ในอัตราส่วนที่ตกลงกันโดย 70%จะเป็นของ DTAC,AISและ ORANGE เป็นของ ทศท. 30%

4.แต่ที่แย่กว่านั้ นหากใช้โทรศัพท์ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์บ้านหรือมือถือโทรเข้าไปโทรศัพท์ของ TA หากไม่มีคนรับแล้วได้ยินเสียงเรียกตู๊ด เกินกว่า 3ครั้งจะเสียค่าบริการทันที ครับอย่าลืมส่งต่อให้เพื่อนๆด้วย

5. อย่าเกิน 4 ตู๊ด คุณว่าทุกวันนี้คุณจ่ายค่าโทรศัพท์ แพงเกินไปรึป่าว เราเป็นคนนึงที่ใช้โทรศัพท์ขององค์การโทรศัพท์และสงสัยกับค่าโทรศัพท์ที่ ขึ้น มาในบิลแต่ละเดือนว่าทำไมมันมากผิดปกติ ทั้งๆ ที่เรานึกๆ ดูแล้วก็ไม่ได้คุยบ่อยเท่าไหร่

ในช่วงเดือนที่ผ่านมาเราก็เริ่มสังเกตดูจากบิลค่าโทรศัพท์ที่บ้านเรา เวลาบิลที่ส่งมาจะมีบอกเบอร์มือถือที่เราโทรออก เราก็เห็นว่าทำไมเราถึงโทรหาเพื่อนคนเดิมเบอร์เดิมติดต่อกันในช่วงเวลาเดียว กัน คือมันจะขึ้นมาเป็นแถบเลยว่าโทรเบอร์นี้เวลานี้อาจจะห่างกันสัก 5นาที แต่ว่ายังเป็นเบอร์เดียวกันอยู่ แล้วแต่ละครั้งก็จะโทรนาน1นาที คิดเป็นเงิน 3บาทเราก็รู้สึกแปลกๆว่าเราจะโทรติดๆกันทำไม โทรติดคุยกันก็เลิกแล้ว
ไม่ต้องโทรติดๆ กันหลายครั้งแล้ว

เวลาเราโทรเราจะรอจนกว่าสายจะตัดตลอด จนมีอยู่วันนึง เราก็บ่นๆเรื่องนี้อยู่ พี่เราเค้าได้ยิน เค้าก็เลยบอกว่า ถ้าโทรไปไม่มีคนรับ แล้วเรารอโทรศัพท์เรียกเกิน 4 ครั้ง มันก็จะคิดตังค์เรา ไม่ว่าจะมีคนรับหรือไม่รับก็ตามเราก็เฮ้ยจริงเหรอ ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะยังไม่ได้คุยเลยนะ

พอเดือนต่อมาเราก็เลยลองโทร เข้าเบอร์มือถือเรานี่แหละโทรเข้าไปแล้วรอจนสายตัดเลยหลายๆครั้งติดๆกัน พอบิลค่าโทรมาโอ้โฮ จริงๆ ด้วย เบอร์เราขึ้นมาเป็นแถบเลย เราก็เลยเซ็งๆมากๆว่าทำไมถึงทำกันอย่างนี้เราก็เลยอยากจะมาบอกทุกคนว่าให้ ระวังเอาไว้ อย่าโทรเกิน 4 ตู๊ดแล้วกัน เดี๋ยวเสียตังค์


หมายเหตุ ข้อมูลทั้งหมดที่ทำให้กระจ่าง ก็มาจากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย

12 มิ.ย. 2554

ทานมื้อเย็นอย่างไรให้ 'สุขภาพดี'


ทานมื้อเย็นอย่างไรให้ 'สุขภาพดี'


มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่า "เช้าทานอย่างราชา กลางวันทานอย่างคนธรรมดา เย็นทานอย่างยาจก" นั่นก็เพราะว่าเราต้องให้ความสำคัญกับอาหารมื้อเช้ามากเป็นพิเศษ ส่วนอาหารเย็นนั้นควรรับประทานแต่พอดี ไม่หนักมากนัก เพราะว่าช่วงเย็นเป็นช่วงที่เราไม่ต้องใช้พลังงาน และเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายต้องการการพักผ่อนแล้วนั่นเอง ครั้งนี้เรามาทำความเข้าใจถึงความจำเป็นของอาหารเย็นต่อร่างกายว่ามีมากน้อย เพียงใด และหลักที่ถูกต้องในการทานอาหารเย็นว่าเราจะทานอย่างไรให้มีสุขภาพที่ดีไป นาน ๆ

1. ไม่ควรงดอาหารมื้อเย็น
สาวๆ หลายท่านชอบลดน้ำหนักด้วยวิธีการงดอาหารเย็น ซึ่งไม่ควรค่ะ เนื่องจากเมื่อถึงเวลาอาหาร โดยปกติร่างกายจะหลั่งกรดออกมาเพื่อทำการย่อยอาหาร ดังนั้น เมื่อไม่มีอาหารในกระเพาะ น้ำย่อยก็จะมาย่อยกระเพาะแทน เราจึงควรลดมากกว่างด เลือกทานอาหารเบา ๆ หรืออาหารที่ให้พลังงานน้อยที่สุด อย่างเช่น เน้นผักและผลไม้ ส่วนเนื้อสัตว์ติดไขมัน ของมัน ๆ ทอด ๆ ควรงดจะดีกว่านะคะและเวลาที่ควรทานคือหกโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่ม ไม่ควรทานดึกกว่านี้

2. หลังทานอาหารเย็นไม่ควรออกกำลังกายต่อทันที
บาง ท่านกลัวอ้วน หลังทานอาหารเย็นจึงออกกำลังกายทันที ความจริงแล้วเป็นเรื่องที่ไม่ควรนัก ถ้าเราทานอาหารภายในเวลา 1-2 ช.ม. แล้วไปออกกำลังกายทันที อาจทำให้เราเกิดอาการจุกได้ ถ้าเป็นไปได้ควรเดินเรื่อย ๆ ไม่ต้องเร่ง เพราะเวลาเราเดินลำไส้จะมีการขยับตัว อาหารก็จะย่อยง่ายและยังเป็นการใช้พลังงานไปในตัวอีกด้วย เป็นแนวทางที่ดีในการปฏิบัติจะได้ไม่อ้วนนะคะ...ส่วนสาว ๆ ที่ต้องการออกกำลังกายหลังเลิกงาน เป็นต้นว่าไปเข้าฟิตเนส จะมีหลักการทานมื้อเย็นอย่างไร ความจริงแล้วถ้าคิดจะออกกำลังกายในช่วงเย็น พอเลิกงานควรทานอาหารเบาๆ อาหารที่ย่อยง่าย เคี้ยวให้ละเอียด เว้นประมาณ 1-2 ช.ม. ก่อนการออกกำลังกาย งดอาหารย่อยยาก เช่น ของมัน ของทอด อาหารที่มีกะทิเหล่านี้จะย่อยยาก

3. หลังอาหารเย็นไม่ควรอาบน้ำในทันที
เพราะ เมื่อเราทานอาหาร ขณะที่อาหารกำลังย่อย กระเพาะต้องทำงาน เลือดต้องถูกไปหล่อเลี้ยงกระเพาะเพื่อช่วยในการย่อย ถ้าเราไปอาบน้ำทันทีหลังอาหาร ซึ่งโดยปกติแล้วมนุษย์เป็นสัตว์เลือดอุ่น เมื่อร่างกายโดนน้ำเย็น ๆ ก็จะทำให้เลือดจำเป็นต้องมาที่บริเวณผิวหนัง เพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่น ดังนั้นแล้วเลือดจึงถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ซึ่งแน่นอนว่า มันต้องถูกแบ่งมาที่ผิวหนังก่อนเป็นอันดับแรก ทำให้เลือดส่งไปที่กระเพาะได้น้อย สิ่งที่เกิดขึ้นคือระบบการย่อยทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ ท้องจะอืด แน่นท้อง จุก จึงควรเว้นอย่างน้อยที่สุด 30 นาที และทางที่ดีที่สุดต้องประมาณ 1 ชม. สำหรับอาหารที่ย่อยง่าย และ 2 ช.ม. ถ้าเรารับประทานอาหารที่ย่อยยาก

4. หากสาวๆ ต้องการลดความอ้วนด้วยให้ทานผักหรือผลไม้ในมื้อเย็น
ผู้ ที่ต้องการลดน้ำหนัก มื้อเย็นอาจทานเป็นผักผลไม้ และจะต้องไม่เลือกผลไม้ที่เป็นกรด เพราะขณะท้องว่างร่างกายจะมีกรดมากอยู่แล้ว และเลี่ยงการทานผักหรือผลไม้ดิบขณะท้องว่าง เพราะจะทำให้ท้องอืดได้ แนะนำว่าให้ทานผักสุก เช่น การลวก การต้ม แกงจืด หรือยำที่รสชาติไม่จัดมาก เช่น ยำแตงกวา ยำวุ้นเส้น ที่ไม่เผ็ดหรือ
เปรี้ยวเกินไป

5. อาหารมื้อเย็นที่ควรหลีกเลี่ยง
ได้แก่ อาหารที่ย่อยยาก เช่น ของมัน ของทอด เนื้อสัตว์ติดมัน อาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูง ถ้าต้องทานควรทานในปริมาณเล็กน้อย อาหารที่เป็นกรดมาก เพราะอาจทำให้เกิดภาวะกรดย้อนหลอดอาหารได้ สำหรับวัยผู้ใหญ่ แนะนำว่าอาหารมื้อเย็นควรเป็นอาหารย่อยง่าย มีโปรตีนสูง มีคาร์โบไฮเดรตบ้าง แต่ไม่ต้องมาก เช่น ข้าว ข้าวซ้อมมือ (จะทำให้อยู่ท้องกว่า) ผักลวก ผักต้ม และต้องคำนึงถึงสารอาหารที่ครบทั้ง 5 หมู่ด้วยนะคะ

อย่าคิดว่าอาหารมื้อเย็นไม่สำคัญนะคะ ควรใส่ใจและให้ความสำคัญกับการเลือกทานมื้อเย็นให้มาก แต่ต้องทานแค่พอเหมาะไม่ทานจุเกินไป เพราะนอกจากจะทำให้อ้วนแล้วยังมีอีกหลายโรคตามมาจากการทานอาหารมื้อเย็นที่ ไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือด ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ นอกจากนี้แล้วยังส่งผลถึงคุณภาพการนอนอีกด้วย อย่าลืมว่าตอนกลางคืนเราแทบจะไม่ได้ใช้พลังงานเลย อดก็เป็นโรค ทานมากเกินไปก็เป็นโรค ควรทานให้พอเหมาะพอดีนะคะ ดังคำกล่าวที่ว่า "อโรคยา ปรมา ลาภา" ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ

สัจธรรมจากนาฬิกาทราย


‘นาฬิกาทราย’ มีมานานตั้งแต่สมัยโบราณ
เชื่อว่าถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 8
แต่ทว่าประวัติศาสตร์ที่มายังไม่ชัดเจน
จากหลักฐานพบว่ามีใช้แพร่หลายในยุโรป
ตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 14 เป็นต้นมา

นาฬิกาทรายใช้จับเวลาด้วยเม็ดทรายละเอียด
ไหลผ่านคอคอดเล็กๆ กึ่งกลางของขวดแก้ว
ไหลลงมากองที่ก้นจนหมด จึงนับเป็นหนึ่งเวลา
หนึ่งช่วงเวลาจะขึ้นอยู่กับจำนวนทรายในขวดแก้ว
ส่วนมากจะใช้จับเวลาหน่วยวัดเป็น 1 ชั่วโมง

นาฬิกาทราย ไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องบอกเวลา
แต่ใช้เป็นเสมือนตัวแทนสัญลักษณ์ของเวลา
เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สากลที่เกี่ยวข้องกับเวลา
และสัญลักษณ์นาฬิกาทราย ยังหมายถึง “เวลาแห่งชีวิต”
อนาคตที่ไหลเป็นอดีต โดยมีปัจจุบันอยู่ระหว่างกลาง

หากเปรียบนาฬิกาทรายเป็นเหมือนกับชีวิตคน
เหตุการณ์อนาคต คือ เม็ดทรายนับไม่ถ้วนที่ผสมปนเปกัน
อัดแน่นเบียดเสียด อลวนโกลาหลที่บริเวณช่องของคอคอด
รอการไหลผ่านรูช่องแคบแห่งปัจจุบันเพื่อร้อยเรียงเรื่องราว
เป็นเส้นสายไหลตกลงไปนอนก้น สู่อดีตของวันวาน

แต่สิ่งที่มักถูกมองข้าม นอกจากเรื่องเวลาของนาฬิกาทราย
คือ ตรงกึ่งกลางของขวดแก้ว ที่เหมือนสองกรวยปลายต่อติดกัน
ที่บีบรัดกองทรายให้ลาดเอียง ไหลเทลงผ่านรูช่องแคบที่คอคอด
ประหนึ่งว่าขวดแก้วต้องการมุ่งจุดสนใจที่จะขวางกั้นกองทราย
เพื่อจัดเรียงเม็ดทรายให้ไหลผ่านรูช่องแคบอย่างเป็นระเบียบนั่นเอง

เฉกเช่นการตั้งใจทำเหตุการณ์ปัจจุบันตรงหน้าให้ดี
ไม่ว่าเหตุการณ์อนาคตจะมีมามากมายขนาดไหนก็ตาม
เหตุการณ์ทุกอย่างนั้น จะต้องถูกบีบอัดให้เป็นเรื่องราวเพียงหนึ่งเดียว
เมื่อใดที่จิตใจมุ่งความสนใจจดจ่อกับเหตุการณ์ ณ เวลาปัจจุบัน
เมื่อนั้นก็คือ การตั้งมั่นอยู่ในความไม่ประมาทนั่นเอง



เขียนโดย แมลงปอ อากิระ
วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน 2554

เสริมดวงสุขภาพ 12 ราศี


ราศีเมษ (21 มีนาคม - 19 เมษายน)

อาการปวดศีรษะและโรคไมเกรน เป็นโรคที่ชาวเมษควรระวัง เพราะตามการเดินทางของดวงดาวจะมีอิทธิพลปกคลุมร่างกายส่วนศีรษะทั้งหมด ยิ่งประกอบกับความที่เป็นคนคิดมาก เครียดจัด ไม่ยอมทานอาหารตรงตามเวลา อาการปวดหัวจึงมักจะมาเยี่ยมเยียนอยู่เป็นประจำ โรคหวัดและไซนัสอักเสบ ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาสุขภาพของชาวเมษ จึงควรดื่มน้ำหัวบีต แครอท และชาสมุนไพรคาโมมายล์เป็นประจำ

ราศีพฤษภ (20 เมษายน - 20 พฤษภาคม)

ด้วยความที่เป็นคนทานเก่ง ชอบกินจุบจิบตลอดเวลาทำให้ปัญหาใหญ่เป็นเรื่องรูปร่าง ซึ่งพอคิดจะลดก็มักตบะแตก ไม่เคยสำเร็จสักที เพราะฉะนั้นจึงควรนำความมุ่งมั่น ความดันทุรังที่เป็นนิสัยพื้นฐานประจำตัว มาปรับใช้ให้เป็นประโยชน์กับการลดน้ำหนัก ซึ่งถ้าทำได้เชื่อว่าคราวหน้าส่องกระจก คุณอาจจะตะลึงคิดว่านางฟ้าแปลงกายมาอยู่ตรงหน้า ปัญหาเรื่องคอ เป็นอีกปัญหาสำคัญของชาวพฤษภ ยิ่งเมื่ออยู่ในที่เย็นหรือเกิดอาการเครียดจัด จะปวดเมื่อยตามคอได้ง่าย ซึ่งวิธีแก้คือใช้มือนวดเบาๆใต้ติ่งหู ต่อมไทรอยด์ทำงานไม่ปกติ ก็เป็นอีกโรคที่มักมาก่อกวนชาวราศีนี้ ทำให้ระบบการเผาผลาญของร่างกายทำงานไม่ปกติ ควรทานปลาหรืออาหารที่มีไอโอดีนเยอะๆ

ราศีเมถุน (21พฤษภาคม - 22 มิถุนายน)

ชาวราศีเมถุนมีจุดอ่อนอยู่ที่หลังและไหล่ ทำให้มักเกิดอาการตึงเส้นเอ็นบริเวณข้อมือบ่อยๆ ยิ่งถ้าต้องนั่งทำงานหรืออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ เพราะฉะนั้นจึงควรหาอุปกรณ์เสริม เช่น หาเบาะนิ่มๆ มารองข้อมือเวลาใช้คอมพิวเตอร์ หรือเก้าอี้ที่นั่งสบายมีพนักตรงปรับระดับอย่างพอเหมาะกับโต๊ะทำงาน นอนไม่หลับถือเป็นโรคที่รุนแรงสำหรับชาวราศีนี้ เพราะไม่ใช่แค่หลับๆตื่นๆ แต่จะถึงขั้นตาค้าง สมองทำงานตลอดเวลา จนร่างกายทรุดโทรมอ่อนเพลีย วิธีแก้คือลด ละ เลิก เครื่องดื่มกระตุ้นร่างกายทั้งหลาย โรคหลอดลมอักเสบ หวัดลงปอด หืด ปอดอักเสบ ถุงลมโป่งพองและโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ซึ่งอากาศบริสุทธิ์และการออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยสร้างเกราะป้องกันได้

ราศีกรกฎ (23 มิถุนายน - 22 กรกฎาคม)

อาการต่างๆ ก่อนมีประจำเดือน ไม่ว่าจะเป็นปวดท้อง อารมณ์แปรปรวนหงุดหงิดง่าย เป็นโรคที่มักเกิดกับชาวกรกฎ ด้วยสาเหตุที่ดาวเคราะห์ประจำราศีเป็นดวงจันทร์ และร่างกายมีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงส่งผลให้หน้าอก เต้านมและต่อมน้ำนมมักเกิดอาการผิดปกติ จึงควรทานวิตามินและอาหารเสริมเป็นประจำ อีกทั้งโรคกระเพาะ ลำไส้อักเสบและโรคที่เกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร จึงควรใส่ใจในพฤติกรรมการทานให้มาก

ราศีสิงห์ (23 กรกฎาคม - 22 สิงหาคม)

ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อหลังและส่วนต่างๆ ของร่างกาย เนื่องจากนิสัยดื้อรั้น ชอบทำทุกอย่างด้วยตนเอง ไม่ยอมยืดหยุ่น ทำให้ร่างกายเมื่อยล้าและเคล็ดขัดยอกอยู่บ่อยๆ ชาวราศีสิงห์มักมีน้ำหนักตัวมากเกินพอดี เพราะพอเครียดก็มักระบายออกกับมันฝรั่ง ไอศกรีม หรือขนมหวานทั้งหลาย ทำให้เป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือดตีบ ซึ่งหากยังเลิกการทานเพื่อระบายความเครียดไม่ได้ควรเปลี่ยนมาทานผัก ผลไม้ หรือมันฝรั่งทอดปราศจากเกลือและไขมันต่ำแทน

ราศีกันย์ (23 สิงหาคม - 20 กันยายน)

ด้วยความที่เป็นคนร่าเริง ชอบทำกิจกรรม ออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ ทำให้โรคต่างๆ ไม่ค่อยมารุมเร้ากวนใจคุณมากนัก แต่สำหรับโรคนอนไม่หลับถือเป็นกรณียกเว้น คุณมักจะตื่นกลางดึกแล้วนอนไม่หลับอยู่บ่อยๆ ลองอาบน้ำอุ่นจัดก่อนนอน หลีกเลี่ยงอาหารมื้อหนักหลังสี่โมงเย็น หรือดื่มนมและน้ำผึ้งอุ่นๆ ก่อนนอน

ราศีตุลย์ (21 กันยายน - 22 ตุลาคม)

จากนิสัยที่คุณเป็นคนชอบทานของหวานและอาหารมันๆ เป็นประจำ แต่ไม่ยอมออกกำลังกาย ส่งผลให้ไตทำงานหนักมากกว่าปกติ จึงควรดูแลไตเป็นพิเศษ โดยดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว หลีกเลี่ยงอาหารพวกเนื้อ ปลา เป็ด ไก่ แล้วแทนที่ด้วยผักผลไม้สีเขียวและสีเหลือง รับรองถ้าทำตามไตคุณจะยิ้มระรื่นเลยทีเดียว เนื่องจากผิวหนัง และไตของชาวราศีนี้อยู่ใต้อิทธิพลของดาวศุกร์ จึงมักส่งผลให้ไขมันและส่วนเกินที่ถูกขับออกมาจากไต ถูกปลดปล่อยทางร่างกาย ผิวหนังเป็นเหงื่อและสิว การดูแลใบหน้าให้สะอาดจึงเป็นสิ่งที่ชาวตุลย์ควรใส่ใจให้มากเป็นพิเศษ

ราศีพิจิก (23 ตุลาคม - 22 พฤศจิกายน)

ชาวราศีพิจิกมีนิสัยชอบกลั้นการขับถ่ายๆ ไว้นานๆ แถมยังชอบอาหารที่มีไขมันสูง แบบที่เห็นเป็นไม่ได้ต้องวิ่งเข้าหาทันที ทำให้โรคท้องผูกมักมาเยือนบ่อยๆ จนบางครั้งอาจเรื้อรั้งไปถึงริดสีดวงทวาร ทางที่ดีควรปรับเปลี่ยนกิจวัตรประจำวัน และทำระบบขับถ่ายให้เป็นกิจวัตร

ราศีธนู (23 พฤศจิกายน - 20 ธันวาคม)

ด้วยความที่เป็นคนทุ่มเทเต็มที่กับเรื่ื่องกิน เรื่องดื่มเป็นพิเศษ ทำให้ชาวราศีนี้มีโอกาสเป็นโรคตับอักเสบ โรคตับแข็งและโรคพิษสุราเรื้อรังมากกว่าชาวราศีอื่น เพราะฉะนั้นเลิกดื่มซะเถอะ ราศีธนูหมายถึงร่างกายส่วนตับและถุงน้ำดี ทำให้ชาวราศีธนูมีโอกาสเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดีสูง ซึ่งโรคนี้มักทำให้คุณเกิดอาการปวดท้องประมาณ 15 นาที ถึง 1 ชั่วโมงหลังรับประทานอาหารเสร็จ ถ้าอยากให้อาการดีขึ้นลองทานอาหารประเภทโปรตีน คาร์โบไฮเดรต หรือวิตามินเสริมที่ช่วยให้เกิดการดูดย่อยไขมันได้ดี

ราศีมังกร (21 ธันวาคม - 19 มกราคม)

ลักษณะและบุคลิกที่ดูก้าวร้าวของคนราศีนี้ มักส่งผลมาจากลักษณะทางกายภาพของส่วนกระดูกและข้อต่อที่ไม่ค่อยมีความ ยืดหยุ่น ทำให้เมื่อยิ่งแก่ตัว หรือเริ่มเข้าสู่ช่วงครึ่งหลังของชีวิต จะเป็นโรคเกี่ยวกับข้อต่อและกระดูก ทางที่ดีควรบริโภคแคลเซียม วิตามินดีและออกกำลังกายเป็นประจำ แต่จะให้เจ๋งกว่าควรรีบทำก่อนอายุ 35 ไม่งั้นจะสายเกินแก้ โรคข้ออักเสบเป็นโรคที่ก่อให้เกิดความอ่อนเพลีย ทรมานและเจ็บปวดมากที่สุดโรคหนึ่งสำหรับชาวราศีมังกร เพราะไม่สามารถรักษาได้โดยตรง ทำได้เพียงให้ยาลดอักเสบและบวมตามข้อเท่านั้น ดังนั้นการเลือกอาหารบริโภค ฝึกโยคะ ทำสมาธิ สร้างจินตนาการจะเป็นตัวช่วยในการบรรเทาปวดอีกวิธีที่ยอดเยี่ยมทีเดียว

ราศีกุมภ์ (20 มกราคม - 18 กุมภาพันธ์)

โรค ข้อเท้าบวม ข้อเท้าเคล็ด หลอดเลือด (ดำ) ขอด จากทิศทางของดวงดาวทำให้ชาวราศีกุมภ์มักมีอาการบวมที่ข้อเท้า หรือบริเวณต่ำกว่าหัวเข่าลงมา ดังนั้นจึงควรนวดขาทุกวัน ตั้งแต่นิ้วเท้าจนถึงต้นขาด้วยน้ำมันวิตามินอี หรือน้ำมันหอมระเหยมะนาวผสมกับลาเวนเดอร์ เพื่อบริหารให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น

ราศีมีน (19 กุมภาพันธ์ - 20 มีนาคม)

ชาวราศีมีนมักมีระบบต่อมน้ำเหลืองทำหน้าที่หลักในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้มีโอกาสเป็นโรคเกี่ยวกับระบบต่อมน้ำเหลืองได้มาก แต่ทางแก้ไม่ยาก แค่ดื่มน้ำสมุนไพร ชาและเครื่องดื่มบำรุงร่างกาย จากการที่โหมงานหนัก ชอบคิดมากในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ทำให้ชาวราศีมีนจะรู้สึกเหนื่อยอ่อนและเวียนศีรษะอยู่บ่อยๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภาวะเลือดจางและขาดธาตุเหล็ก แต่เพียงแค่รับประทานอาหารทดแทนธาตุเหล็ก เสริมสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงก็จะบำบัดได้มาก

11 มิ.ย. 2554

แง่คิดดีๆ เกี่ยวกับการเก็บเงิน

แง่คิดดีดี

• วัยเยาว์
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...ฉันยังเด็กเกินไปที่จะคิด
ชีวิตฉันเพิ่งเริ่มต้น ทุกวันนี้ยังต้องแบมือขอเงินพ่อแม่
และฉันไม่เหลือพอที่จะเก็บ ฉันกำลังเล่นสนุก
วันหนึ่งเมื่อฉันโตขึ้นฉันจะเก็บเงิน

• วัยรุ่น
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...ฉันยังเรียนหนังสืออยู่
พ่อแม่ให้เงินสำหรับพอใช้ในแต่ละวันเท่านั้น
ฉันยังเก็บเงินไม่ได้หรอก
นอกจากนั้นฉันยังมีเรื่องอื่นๆ
ที่ต้องใช้เงินอีกเมื่อฉันเรียนจบ
และถ้าฉันหาเงินได้เอง ฉันจึงจะเก็บ

• วัย 20
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...ฉันเพิ่งเรียนจบ
ขอเวลาฉันได้พักสมองบ้าง
และฉันยังไม่พร้อมที่จะผูกมัดเรื่องนี้
ฉันยังต้องการแสวงหาความสนุก
ในขณะที่ฉันสามารถทำได้
ยังมีเวลาเหลืออีกมากที่จะคิด
ถึงตอนนั้นเมื่อฉันพร้อมฉันก็จะเก็บ

• วัย 30
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...
ฉันเพิ่งมีครอบครัวและต้องรับผิดชอบหลายอย่าง
ค่าใช้จ่ายลูกเดี๋ยวนี้แพงเหลือเกิน
และฉันยังต้องผ่อนหนี้เงินกู้บ้านอีกด้วย
ทุกวันนี้แทบจะชักหน้าไม่ถึงหลังอยู่แล้ว
ถ้าวันข้างหน้าฉันหาเงินได้มากกว่านี้
และลูกๆ โตแล้ว ฉันจึงจะเก็บ

• วัย 40
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...
ลูกฉันเริ่มเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัย
เดี๋ยวนี้ค่าหน่วยกิตและค่าต่างๆ แพงมาก
ไหนยังต้องผ่อนหนี้เงินกู้ที่ซื้อรถยนต์ให้ลูกอีก
ฉันกลัวพวกเขาลำบาก
ตอนนี้ยอมรับว่าค่าใช้จ่ายสูงจริงๆ
และเป็นเวลาที่ยากที่จะเก็บเงิน
แต่อีกสักระยะเมื่อพวกเขาเรียนจบ การเงินคงจะคล่องตัวขึ้น
ถึงตอนนั้นฉันจึงจะเก็บ

• วัย 50
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...
ตอนนี้ลูกๆเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว หลายคนกำลังจะแต่งงาน
ฉันอยากให้พวกเขาเริ่มต้นชีวิตที่ดี
นอกจากนี้ฉันยังต้องไปช่วยญาติบางคน
ซึ่งตอนนี้พวกเขากำลังต้องการความช่วยเหลือ
เหตุการณ์มันไม่ได้เป็นไปตามที่ฉันคิดไว้เลย มันติดขัดไปหมด
โชคดีเมื่อไหร่ฉันคงจะเก็บเงินได้

• วัย 60
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...
ฉันนึกว่าสถานการณ์น่าจะดีขึ้น
ฉันอยากเกษียณอายุก่อน แต่ฉันไม่สามารถทำได้
ฉันกำลังพยายามจ่ายเงินติดค้างจำนองบ้านที่เหลือ
และหนี้สินอื่นๆ
แต่ทุกอย่างยังประดังเข้ามา ไหนจะลูกเอยหลานเอย
ไอ้โน่นไอ้นี่มาลงที่ตัวฉันหมด
ถ้าภาระฉันหมดเมื่อไร ฉันภาวนาว่าฉันน่าจะเก็บได้

• วัย 70
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...
ฉันแก่เกินไปที่จะเก็บ เงินบำนาญของฉันก็มีไม่มากพอ
บิลค่ายาและค่าดูแลรักษาพยาบาลระยะยาว
ทำให้ฉันเป็นห่วงอยู่
ฉันไม่อยากไปเป็นภาระของลูกๆ เขา
ฉันน่าจะเก็บตอนที่ฉันมีและควรเก็บได้
ตอนนี้มันสายเกินไป......ฉันไม่สามาถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้จริงๆ.....

20ข้อ ที่ควรรู้เกี่ยวกับ 7-11


1.คนที่มีปกคอเสื้อคาดสีแดง ..คนนั้น จะเป็น ผจก. ก็ ผช. ผจก.

2.สามารถอ่านหนังสือตรงBook Smile ได้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องเสียตังค์

3.สินค้าส่วนมาก ถูกเรียงวันหมดอายุเรียบร้อยแล้ว โดยเอาจากวันหมดอายุก่อนอยู่หน้า
(รู้แล้วก็ไม่ควรหยิบสินค้าจากข้างหลังนะ จ๊ะ)

4. ถ้าคุณสั่งแซนวิชอบร้อนต่างๆนาๆ ถ้าภายใน3นาทียังไม่ได้(หลังจากเอาเซนวิชใส่เตา แปลว่า แซนวิชของคุณ ไหม้ หรือไม่ก็ พนักงานลืมเปิดเตา?? (แอบฮา)

5.เซเลอ เดี๋ยวนี้มีบางสาขา โดยมีสาเหตุหลักเช่น ขายไม่ดี และ เครื่องพัง หรือ บางสาขาอยู่ไกล้กันกัน จึงไม่สามารถให้ทั้ง2-3สาขา มีเซเลอทุกร้าน

6.สุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล ขายได้ในเวลา 11.00-14.00 และ 17.00-24.00

7. โอวัลติน กาแฟ ชานม และ เครื่องดื่มที่4(จะเป็นชามะนาวหรือไม่ก็น้ำลิ้นจี่) 4อย่างเหล่านี้ เมื่อชงแล้ว จะมีอายุได้แค่1วัน นั่นหมายความว่า จะหมดหรือไม่หมดนั้น ต้องเททิ้งทุกครั้ง(คิดแล้วเสียดายไหม อิอิ)

8.เครื่องดื่มทุกอย่างภายในร้าน เมื่อลูกค้ากด ก็ต้องเสียตังค์เป็นธรรมดา แต่พนักงานกด ไม่ต้องเสียแม้แต่บาทเดียว

9.ตรงที่กดน้ำอัดลม ที่เขียนวา "ว่าง" นั่นคือ Soda

10. หลังจาก5ทุ่มของทุกวัน สามารถซื้อของกินหมดอายุในราคาแค่ครึ่งเดียวได้ เพราะ จริงๆแล้ว ของหมดอายุสามารถกินได้ต่อ เพราะเก็บอยู่ในอุณภูมิที่ดีมาตลอด เช่น ขนมปัง เกี๊ยวซ่า พิซซ่า หรือแม้กระทั่งนม ซึ่งของเหล่านี้มีอายุไม่ถึง15วัน (อันนี้ไม่เคยลองแหะ)

11.คุณไม่ต้องระแวงเมื่อคุณกดเซเลอแล้วกินไปด้วยในขณะหาซื้อของกิน เพราะไม่มีพนักงานคนไหนกล้าว่าคุณ เพราะว่า พนักงาน สามารถกินตอนไหนก็ได้โดยไม่ต้องเสียตังค์ เหอๆอันนี้ก็บ่อยครับ

12.เวลาซื้อบัตรเติมเงิน ขอให้คุณจำเบอร์โทรของตัวเองให้ได้ แล้วเติมออนไลน์เอา เพราะว่า 7-11 จะได้ยอดบางส่วน และช่วย ควบคุมการผลิตบัตร(ลดโลกร้อนนะ)

13.จากข้อข้างบน บอกพนักงานเลยว่าต้องการเติมออนไลน์ แล้วรอให้เขาบอกว่ากดได้ แล้วค่อยกดเบอร์ไทรของตัวเองไป จากนั้นกดปุ่มสีเขียว

14. หลังเที่ยงคืน ของทุกวัน ถ้าคุณอยากกินพวกน้ำกาแฟหรือโอวัลติน ที่กดจากตู้เจ็ท ....คุณจะไม่เห็นมันตั้งไว้ เนื่องจากพนักงานจะนำไปล้าง แต่คุณสามารถบอกพนักงานได้ว่าคุณอยากดื่มมัน เนื่องจากพนักงานเขาชงเอาไว้แล้ว

15.อย่าตกใจเมื่อคุณเข้าไปซื้อ ของในตอนเย็น จะมีพนักงานดูคนขโมยของอยู่ ไม่1ก็2คน และส่วนมาก มักอยู่ตรงCD เพราะCDมักถูกขโมยบ่อย และเป็นของราคาแพงด้วย(หลักร้อยอะนะ)

16.เมื่อคุณจะหยิบสินค้าบางอย่าง แต่คุณตกใจในราคาว่ามันแพงไปหรือถูกไป ควรดูป้ายราคาให้ดี โดยเฉพาะชื่อสินค้า ส่วนมากเรื่องป้ายราคา ที่มัปัญหามากที่สุด น่าจะเป็น Catarog

17.จากข้อ13(ลืมบอกไป) เติมเงินออนไลน์ มีแค่ของ ทรูมูฟ และ Dtacเท่านั้น ส่วน 1-2 Call ซื้อเป็นบัตรเอา แต่ทรูมูฟ สามารถเติมขั้นต่ำที่20บาทได้

18.เงิน ในเครื่องที่แคชเชียร์ เขาห้ามเอาไว้ไม่เกิน2000 แต่ส่วนมาก 1000ก็เยอะแล้ว แล้วในเครื่องสามารถเอาแบงค์500ไว้ได้แค่ใบเดียว แล้วห้ามมีแบงค์พันเด็ดขาด นั่นหมายความว่า ถ้าคุณซื้อของโดยจะแตกแบงค์พัน ถ้าคุณโชคดีคุณก็ได้เร็ว แต่ถ้าปกติคุณต้องรออย่างต่ำ30วินาที ซึ่งต้องทำใจหน่อย ถ้ารีบจริงๆ

19.ถ้าคุณกินเบอร์เกอร์หรือไม่ก็ ใส้กรอก แล้วคุณต้องการซอส ถ้าไม่มีตรงที่ใส่ผัก ก็จะอยู่กับที่แคชเชียร์ เนื่องจากบางคน ซื้อสโมกกี้ไบท์อันเดียวแต่หยิบถุงซอสไปเกือบ10ถุง??

20. โปรโมชั่นส่วนมาก จะจัดรายการเพียงแค่เดือนเดียว นั่นคือวันที่26-25ก็ทุกเดือน(ตอนนี้ก็26เมษายน ถึง 25พฤษภาคม)โดยคนบางส่วนเดินเข้ามาไม่รู้จะซื้ออะไร ให้ดูสื่อ หรือโปสเตอร์โปรโมชั่น ตามกระจก โดยส่วนมากแปะอยู่แถวตู้ไอติม และที่อื่น

------------------------------------------------





อันนี้แถมจากประสบการณ์ของคนที่เคยเป็นพนักงานใน 7-11 มาก่อน

ถ้าให้ดีอย่าซื้อซาลาเปา ในเซเว่น เพราะ...เมื่อมันหมดอายุเราสามารถต่ออายุมันเองได้ มันเป็นใบเขียนวันหมดอายุแบบเดียวกับที่ติดบนขวดซอส เขียนไป7วัน พอเที่ยงคืนของวันที่หมดก็ลอกออก แล้วเขียนไปอีก 7 วัน จนกว่ามันจะขึ้นรา 555+ อยากกินมั๊ยหละ

ที่ว่าชากาแฟมีอายุ1วันบางที่ก็ไม่เททิ้งคะ เอาใส่ห้องวอลต์(ห้องตู้เย็น) ตอนเช้าก็มาเทใส่ใหม่และชงเพิ่มสุรา หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีเวลาที่กำหนดให้ขายได้ เมื่อเราแสกนบาร์โค้ดจะมีคำเตือนขึ้นมาว่า "สามารถจำหน่ายได้เฉพาะเวลา........." แต่แค่กดแคนเซิลก็สามารถแสกนบาร์โค้ดขายได้แล้วคะ (ตอนทำก็แอบขายบ่อยถ้าไม่มีคุณตำรวจมาป้วนเปี้ยนหน้าร้าน)

กะดึกมักจะไม่มีผจก.คุมจะมีก็แต่ผู้ช่วยผจก.1คน ถ้าเจอผู้ช่วยที่ไม่เคร่งมาก คุณจะเห็น พนง.นั่งกินเหล้าได้หน้าร้าน 555+(ที่นี่มีเยอะ) บางทีก็เอาเบียร์ปักหลอดไว้ใต้แคชเชียร์ เพราะตอนกลางคืนไม่มีใครมาตรวจ

พนง.ต้องนับ เหล้า เบียร์ บุหรี่ บัตรเติมเงิน ฟิล์ม แสตมป์ ไพ่ และอะไรต่างๆที่อยู่หลังเคาท์เตอร์ทุกวัน เพราะเป็นของที่หายไม่ได้ ถ้าหายก็โดนซ่อม เกินก็ยังโดนซ่อม เงินในเคาท์เตอร์ ถ้าหายหรือเกินมามากกว่า 5 บาท ตอนสิ้นเดือนเราต้องจ่ายส่วนต่างให้ร้าน

ไม่มีเซเว่นไหนที่นับยอดออกมาแต่ละเดือนแล้วจำนวนเงิน หรือ จำนวนของลงล็อกเป๊ะทุกบาท มันต้องมีหายบ้าง อย่างจูปาจุ๊ปหรือขนมกล่องเล็กๆ

จะมีเครื่องคิดตังค์อยู่2เครื่อง ถ้าพนง.เข้ากะดึก (เที่ยงคืน-8โมงเช้า) ลงชื่อคุมเครื่อง 2 จะได้ตังค์คืนละ 10 บาทบวกกับเงินเดือน และเครื่อง 1 ซึ่งจะมีเซฟอยู่ด้วยจะได้คืนละ 20 บาท (เหมือนจะน้อยแต่ก็เดือนละ 600)

ห้องวอลต์ที่เป็นตู้เย้นก่อนที่จะเข้าจะต้องใส่เสื้อกันหนาวก่อน เพราะมีสิทธิ์เป็นไข้สูงมาก
จะมีFCมาคอยสุ่มตรวจ บางทีก็มาในรูปแบบของลูกค้าที่เรื่องมากหน่อย และดูว่าเราจะปฏิบัติกับลูกค้าอย่างไร ถ้าเราหยาบคาย หรือ วีนใส่ลูกค้า โดนหักคะแนน และโดนเทศน์อีกยาว

เซเว่นแต่ละเซเว่นที่มีสาขาใกล้ๆกันจะสามารถยืมของกันได้ เช่นแก้วกาแฟ โอวัลตินที่ใช้ชง ในกรณีที่ของหมดก่อนที่จะลงของ

16 ไวรัส ตัวร้าย (ติดกันกระจาย)











ทำความรู้จัก "อีโคไล" สธ.ออก 4 มาตรการ


แบคทีเรียชนิดที่มีในร่างกายมนุษย์ส่วนใหญ่จะไม่ทำอันตรายต่อร่างกาย แต่สำหรับแบคทีเรียที่มีชื่อว่า อีโคไล หรือ Escherichia ซึ่งพบได้ในลำไล้ของมนุษย์และสัตว์ สามารถทำให้เกิดโรคหรืออาการต่างๆ เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ เยื้อหุ้มสมองอักเสบ และอาการท้องร่วง เป็นต้น แบคทีเรียชนิด อีโคไลจะมีชีวิตอยู่ได้ในสิ่งแวดล้อมทั่วไป โดยเฉพาะในมูลสัตว์

หลังจากพบการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ระบาดในประเทศอังกฤษ จึงนำข้อมูลเกี่ยวกับแบคทีเรียชนิดนี้มาให้ได้รู้จักกันเพื่อเป็นการป้องกันและรับมือหากได้รับเชื้อชนิดนี้

เชื้ออีโคไล แพร่สู่คนได้อย่างไร
เชื่อแบคทีเรียอีโคไลจะแพร่สู่คนได้จากการรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ปนเปื้อนอยู่ ซึ่งเชื้อชนิดนี้มักจะปนเปื้อนอยู่ในอาหารที่ได้รับการปรุงไม่ถูกสุขลักษณะ

จำนวนผู้ได้รับเชื้ออีโคไล
หน่วยงานด้านการป้องกันโรคในประเทศอังกฤษรายงานว่าในปี 2551 มีผู้ได้รับเชื้ออีโคไลและมีอาการป่วยที่เกิดจากการได้รับเชื้อ 950 ราย

การระบาดของเชื้ออีโคไล
การแพร่ระบาดของเชื้ออีโคไลเริ่มขึ้นในประเทศอังกฤษและคร่าชีวิตผู้คนไปแล้ว 20 ราย ซึ่งเป็นผู้ที่รับประทานอาหารขณะร่วมพิธีในโบสถ์แห่งหนึ่งในปี 2539-2540

อาการของผู้ได้รับเชื้ออีโคไล
จะพบอาการแต่เริ่มท้องร่วงเล็กน้อย จนกระทั่งเกิดภาวะลำไส้อักเสบและมีอาการเลือดออกไม่หยุด เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรงและพบเลือดปนกับอุจจาระ

ระยะฟักตัวของเชื้ออีโคไล
ระยะฟักตัวของเชื้ออยู่ที่ประมาณ 3-8 วัน และจะปรากฏอาการในช่วง 3-4 วันหลังการได้รับเชื้อ แม้ว่าผู้ได้รับเชื้อจะสามารถนำเชื้อ ชนิดนี้ออกจากร่างกายได้ภายใน 1 สัปดาห์ แต่เชื้อส่วนที่หลงเหลือเพียงเล็กน้อยยังสามารถทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ได้ เช่นเกิดภาวะไตเสื่อม ซึ่งเกิดจากเซลล์เม็ดเลือดแดงถูกทำลาย

ผู้เสี่ยงได้รับเชื้ออีโคไล
เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ จะเป็นผู้มีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้ออีโคไลมากที่สุด เนื่องจากร่างกายของคนกลุ่มนี้จะมีความสามารถในการต้านทานเชื้อได้น้อยกว่าคนทั่วไป

การป้องกันและรักษาเมื่อได้รับเชื้ออีโคไล
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาอาการที่เกิดจากการได้รับเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้โดยตรง ผู้ป่วยสามารถรับประทานยาแก้ปวดท้องได้ในเบื้องต้น แต่ไม่ควรรับประทานยาแก้ปวดกลุ่มสเตอรอยด์ เช่นยาแอสไพริน เพราะยากลุ่มนี้จะมีผลทำลายไตของผู้รับประทาน นอกจากนี้เพื่อเป็นการป้องกันการได้รับเชื้อ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ เครื่องดื่มบรรจุกระป๋องและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์



สธ.ออก 4 มาตรการป้องกัน

เชื้อแบคทีเรียอี-โคไล มีทั้งหมด 5 ชนิด ซึ่งชนิดที่ 5 เป็นชนิดที่มีความรุนแรงมากที่สุดที่มีการแพร่ระบาดและเป็นปัญหาที่สหภาพยุโรปขณะนี้ คือ โอ 104(O 104)และจะมีผลทำให้เม็ดเลือดแดงแตกส่งผลทำให้ไตวายด้วย การแพร่ระบาดติดต่อได้ทางอาหารและน้ำ

สำหรับในประเทศไทยจนถึงปัจจุบันนี้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ยืนยันยังไม่เคยพบเชื้อแบคทีเรียอี-โคไล ชนิด โอ 104 แต่อย่างใด อย่างไรก็ตามจากการหารือในวันนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้มีการกำหนดมาตรการทั้งหมด 4 ข้อ คือ

1. เรื่องการป้องกันและการเฝ้าระวังซึ่งสิ่งที่จะดำเนินการถัดจากนี้จะมีการแจกเอกสารให้ความรู้ การปฏิบัติตัว สำหรับผู้ที่เดินทางจากสหภาพยุโรป โดยเฉพาะ 12 ประเทศ ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในสายการบินต่างๆ โดยจะมีการให้ข้อมูลเบื้องต้นประกอบกับการให้คำแนะนำ สถานที่ให้คำปรึกษา หากสงสัยตนเองเป็นกลุ่มเสี่ยง โดยสามารถขอรับคำปรึกษาได้ที่ด่านควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุขที่มีในทุกสนามบิน หากพบว่ามีอาการเช่นถ่ายเป็นเลือด และมีมูกเลือดด้วยและเดินทางมาจาก 12 ประเทศในสหภาพยุโรป ให้พบแพทย์ทันที นอกจากนั้นจะมีการให้ความรู้ความเข้าใจกับกลุ่มทัวร์ต่างๆที่นำลูกทัวร์มาจากประเทศสหภาพยุโรป เพื่อให้ช่วยดูแลหากพบลูกทัวร์ที่มีอาการผิดปกติในลักษณะเข้าข่ายให้พาไปพบแพทย์ทันที

ส่วนประชาชนทั่วไปขอแนะนำให้ใช้มาตรการเดิม คือ กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียอี-โคไล โอ 104 ติดต่อทางอาหารและน้ำ ดังนั้นมาตรการนี้จึงมีความเหมาะสม

มาตรการที่ 2 คือเรื่องการตรวจอาหารนำเข้าจากสหภาพยุโรป ทำการสุ่มตรวจ ผัก ผลไม้ ที่นำเข้ามาจากสหภาพยุโรป โดยเฉพาะใน 12 ประเทศ โดยเฉพาะจากประเทศเยอรมัน เพื่อตรวจหาเชื้อ โอ 104

มาตรการที่ 3 คือ เรื่องการรักษาพยาบาลจะมีการสั่งการให้โรงพยาบาลทุกสังกัดทั้งรัฐและเอกชนให้ใช้มาตรการเดียวกัน คือการดูแลผู้ป่วย 2 กลุ่มเป็นกรณีพิเศษ ได้แก่ กลุ่มที่ถ่ายเหลว มีน้ำหรือมูกปนเลือด หรือกลุ่มที่ถ่ายเป็นมูกเลือดและมีไตวายเฉียบพลัน และมีประวัติเดินทางกลับจากสหภาพยุโรปในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนเริ่มป่วย โดยให้ใช้มาตรการ 3 ข้อ คือ
1.แพทย์ต้องให้การรักษาทันทีตามอาการ ซึ่งจะมีคู่มือและมาตรการทางการแพทย์อยู่แล้ว
2.ต้องเก็บตัวอย่างส่งตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ทุกราย และ
3.ต้องดำเนินการสอบสวนโรค หากพบผู้ป่วยที่มีอาการอยู่ในข่าย
มาตรการที่ 4 กรมควบคุมโรคจะทำหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักขณะนี้ในการติดตามเฝ้าระวังและประสานงานในการแก้ปัญหาทั้งหมดในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับเชื้ออี – โคไล ดังกล่าว

เชื้อนี้ติดต่อกันได้โดยการปนเปื้อนทางน้ำและอาหาร ซึ่งไม่เหมือนโรคไข้หวัด 2009 ที่เป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจซึ่งติดต่อได้ง่าย เพราะฉะนั้นมาตรการแก้ปัญหาต้องมีความเหมาะสม หากทำมากไปจะกลายเป็นเรื่องที่ต้องตอบโต้ระหว่างประเทศ หากน้อยไปประชาชนจะไม่ได้รับการคุ้มครอง สิ่งที่พิจารณาได้ทำอย่างถ้วนถี่แล้ว โรคนี้หากเราติดตามสถานการณ์จนถึงวันนี้ เชื่อว่าใช้เวลาไม่เกิน 1 เดือนเนื่องจากเริ่มหาสาเหตุต้นตอการเกิดโรคได้แล้วว่าเกิดจากอะไร

ในเรื่องการรักษาผู้ป่วยที่มีเม็ดเลือดแดงแตกทำให้เป็นพิษต่อไตทำให้เกิดไตวายเฉียบพลัน วิธีช่วยเหลือที่ดีที่สุดคือการเปลี่ยนถ่ายเลือด(Blood exchange)เพราะหากปล่อยไว้ผู้ป่วยอาจเสียชีวิต ทั้งนี้อาการของผู้ป่วยที่มาพบแพทย์จะมีหลายแบบ แต่แบบที่จะต้องถ่ายเลือดคือแบบไตวายเฉียบพลันร่วมกับมีอาการโลหิตจาง ถ่ายเป็นเลือด หากเป็นอาการอื่นจะรักษาตามอาการ

ไทยนำเข้าผัก ผลไม้จากยุโรปไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นผลไม้ เช่นอโวคาโด ราสเบอรี่ แอปเปิ้ล ส่วนผักจะเป็น บร๊อคโครี่ พลาสลี่ ไม่มาก อย่างถั่วงอกในเบื้องต้นคาดว่าไม่มีนำเข้า ซึ่งในปี 2554 ที่นำเข้าผ่านด่านท่าเรือกรุงเทพ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะมีเฉพาะผักผลไม้ที่นำเข้าจากสหภาพยุโรปมีเฉพาะจากประเทศ ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน เบลเยี่ยม เท่านั้น ส่วนประเทศเยอรมันยังไม่มีการนำเข้า โดยการตรวจจะสุ่มตัวอย่างออกมา 1 กิโลกรัมเพื่อส่งตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์











ที่มา... Healthy.in.th / กระทรวงสาธารณสุข

"การบริหารสมองเป็น 2 เท่า ด้วย Brain Activation"


1.การบริหารปุ่มสมอง
ใช้มือขวาวางบริเวณที่ใต้กระดูกคอและซี่โครงของกระดูกอก หรือที่เรียกว่าไหปลาร้าจะมีหลุมตื้นๆ บนผิวหนังใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ คลำหาร่องหลุ่มตื้นๆ 2 ช่องนี้ซึ่งห่างกันประมาณ 1 นิ้วหรือมากกว่านี้ขึ้นอยู่กับขนาดร่างกายของแต่ะละคนที่มีขนาดไม่เท่ากัน ให้นวดบริเวณนี้ประมาณ 30 วินาที และให้เอามือซ้ายวางไปที่ตำแหน่งสะดือ ในขณะที่นวดปุ่มสมองก็ให้กวาดตามองจากซ้ายไปขวา ขวาไปซ้ายและจากพื้นขึ้นเพดาน

ประโยชน์ของการบริหารปุ่มสมอง

-เพื่อกระตุ้นระบบประสาทและเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองให้ดีขึ้น
-ช่วยสร้างให้ระบบการสือสารระหว่างสมอง 2 ซีกที่เกี่ยวกับการพูด การอ่าน การเขียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น


การบริหารปุ่มสมอง
ใช้มือซ้ายวางบริเวณที่ใต้กระดูกคอและซี่โครงของกระดูกอก หรือที่เรียกว่าไหปลาร้าจะมีหลุมตื้นๆ บนผิวหนัง
ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ คลำหาร่องหลุ่มตื้นๆ 2 ช่องนี้ซึ่งห่างกันประมาณ 1 นิ้วหรือมากกว่านี้ขึ้นอยู่กับขนาด
ร่างกายของแต่ะละคนที่มีขนาดไม่เท่ากัน ให้นวดบริเวณนี้ประมาณ 30 วินาที และให้เอามือขวาวางไปที่ตำแหน่งสะดือ ในขณะที่นวดปุ่มสมองก็ให้กวาดตามองจากซ้ายไปขวา ขวาไปซ้ายและจากพื้นขึ้นเพดาน

ประโยชน์ของการบริหารปุ่มสมอง

-เพื่อกระตุ้นระบบประสาทและเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองให้ดีขึ้น
-ช่วยสร้างให้ระบบการสือสารระหว่างสมอง 2 ซีกที่เกี่ยวกับการพูด การอ่าน การเขียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น


ปุ่มขมับ
1.ใช้นิ้วทั้งสองข้างนวดขมับเบาๆวนเป็นวงกลม ประมาณ 30 วินาที ถึง 1 นาที
2.กวาดตามองจากซ้ายไปขวา และจากพื้นมองขึ้นไปที่เพดาน

ประโยชน์ของการนวดปุ่มขมับ

-เพื่อกระตุ้นระบบประสาทและเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองส่วนการมองเห็นให้ทำงานดีขึ้น
-ทำให้การทำงานของสมองทั้ง 2 ซึก ทำงานสมดุลกัน


ปุ่มใบหู
1.ให้นิ่วหัวแม่มือกับนิ้วชี้จับที่ส่วนบนสุดด้านนอกของใบหูทั้ง 2 ข้าง
2.นวดตามริมขอบนอกของใบหูทั้ง 2 ข้างพร้อมๆกันให้นวดไล่ลงมาจนถึงติ่งหู
เบาๆ ทำซ้ำหลายๆครั้ง ควรทำท่านี้ก่อนอ่านหนังสือเพื่อเพิ่มความจำและมีสมาธิมากขึ้น

ประโยชน์ของการนวดใบหู

-เพื่อกระตุ้นเส้นเลือดฝอยที่ไปเลี้ยงสมองส่วนการได้ยินและความจำระยะสั้นให้ดีขึ้น
-สามารถเพิ่มการรับฟังที่เป็นจังหวะได้ดีขึ้น


2.การเคลื่อนไหวสลับข้าง (Cross Crawl)
ท่าที่ 1 นับ 1-10
ประโยชน์ของการบริหารท่านับ 1-10
-เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อมือให้ประสานกัน เพื่อไม่ให้เกิดอาการนิ้วล็อค
-เพื่อกระตุ้นสมองที่มีการสั่งการให้เกิดความสมดุลทั้งซ้าย-ขวา
-เพื่อกระตุ้นความจำ


ท่าที่ 2 จีบ L
1.ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาให้มือขวาทำท่าจีบ โดยใช้นิ้วหัวแม่มือประกบกับนิ้วชี้ส่วนนิ้วอื่นๆให้เหยียดออกไป
2.มือซ้ายให้ทำเป็นรูปตัวแอล (L) โดยให้กางนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ออกไป ส่วนนิ้วที่เหลือให้กำเอาไว้
3.เปลี่ยนเป็นจีบด้วยมือซ้ายบ้างทำเช่นเดียวกับข้อที่ 1 ส่วนมือขวาก็ทำเป็นรูปตัวเเอล (L)เช่นเดียวกับข้อ 2
4.ให้ทำสลับกันไปมา 10 ครั้ง

ประโยชน์ของการบริหารท่าจีบซ้าย-ขวา

-เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อมือให้ประสานกัน เพื่อไม่ให้เกิดอาการนิ้วล็อค
-เพื่อกระตุ้นสมองเกี่ยวกับการสั่งการให้สมดุลย์ให้มีการเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว
-เพื่อกระตุ้นการทำงานความสัมพันธ์ระ หว่างมือกับตา


ท่าที่ 3 โป้ง-ก้อย
1.ยกมือทั้งสองข้างให้มือขวาทำท่าโป้งโดยกำมือและยกหัวแม่มือขึ้นมา ส่วนมือซ้ายให้ทำท่าก้อย โดยกำมือและเหยียดนิ้วก้อยชี้ออกมา
2.เปลี่ยนมาเป็นโป้งด้วยมือซ้ายและก้อยด้วยมือขวา
3.ให้ทำสลับกันไปมา 10 ครั้ง

ประโยชน์ของการบริหารท่าจีบโป้ง-ก้อย

-เพื่อกระตุ้นการสั่งการของสมองให้สมดุลทั้งซีกซ้ายและซีกขวา
-เพื่อกระตุ้นสมองส่วนการคิดคำนวณกะระยะ
-เพื่อป้องกันกล้ามเนื้อหัวไหล่เกิดการติดยึด


ท่าที่ 4 แตะจมูก-แตะหู
1.มือขวาไปแตะที่หูซ้าย ส่วนมือซ้ายให้ไปแตะที่จมูก (ลักษณะมือไขวักัน)
2.เปลี่ยนมาเป็นมือซ้ายแตะที่หูขวา ส่วนมือขวาไปแตะที่จมูก (ลักษณะมือไขวักัน)

ประโยชน์ของการบริหารท่า แตะจมูก-แตะหู

-ช่วยให้มองเห็นภาพด้านซ้ายและขวาดีขึ้น


ท่าที่ 5 แตะหู
1.มือขวาอ้อมไปที่หูซ้าย ส่วนมือซ้ายอ้อมไปจับหูขวา
2.เปลี่ยนมาเป็นมือซ้ายอ้อมไปจับหูขวาส่วนมือขวาอ้อมไปจับหูซ้าย

ประโยชน์ของการบริหารท่าโป้ง-ก้อย,แตะจมูก-แตะหู,แตะหู

-เพื่อกระตุ้นการสั่งการของสมองให้สมดุลทั้งซีกซ้ายและซีกขวา
-เพื่อกระตุ้นสมองส่วนการคิดคำนวณกะระยะ
-เพื่อป้องกันกล้ามเนื้อหัวไหล่เกิดการติดยึด




3.การผ่อนคลาย
ยื่นใช้มือทั้ง 2 ข้างประกบกันในลักษณะพนมมือเป็นรูปดอกบัวตูม โดยให้นิ้วทุกนิ้วสัมผัสกันเบาๆพร้อมกับหายใจเข้า-ออก ทำท่านี้ประมาณ 5-10 นาที

ประโยชน์ของการบริหารท่าผ่อนคลาย

-ทำให้เกิดสมาธิเป็นการเจริญสติ

5 มิ.ย. 2554

ไฝบนใบหน้าบอกบ่งบอกอะไรในตัวคุณได้บ้าง


บุคคลใดที่มีไฝสีดำตรงกลางระหว่างหน้าผาก บุคคลนั้นมักจะได้รับอันตรายอยู่เนืองๆ และมักจะเสียชีวิตด้วยความยากลำบาก หรืออุบัติเหตุ

บุคคลใดมีไฝสีน้ำตาลตรงกลางระหว่างหน้าผาก มักจะเป็นคนขี้โรค เจ็บป่วยอยู่เนืองๆ

บุคคลใดที่มีไฝที่คิ้วข้างซ้าย ผู้นั้นมักจะประสบความสำเร็จ และมีความสุขในชีวิต เมื่อมีอายุเลย วัยกลางคนไปแล้ว

บุคคลใดมีไฝที่คิ้วข้างขวา บุคคลนั้นมักเป็นผู้มีโชคลาภดี และมีความสุขในชีวิตครอบครัว

บุคคลใดมีไฝที่หนังตาข้างขวา บุคคลนั้นจะไม่ยากจน เป็นผู้มีโชคลาภดี แต่มักจะได้รับความ เดือดร้อน และเสียชื่อเสียงเพระคนรับใช้ คนในครอบครัว หรือบริวารไม่ซื่อสัตย์

บุคคลใดมีไฝใต้ดวงตาข้างซ้าย หากเป็นหญิงจะเป็นผู้ที่ได้รับความเสียใจ สูญเสีย หรือถูกรังแก เอาเปรียบจากผู้ชายหลายครั้ง

บุคคลใคมีไฝตรงขมับขวา ผู้นั้นมักจะเป็นคนโกรธง่าย ใจน้อย โลเล ตัดสินใจช้า และมีความ สมบูรณ์พูนสุขหลังวัยกลางคน

บุคคลใดมีไฝบริเวณแก้มข้างขวา หากเป็หญิงมักจะเป็นคนมีเสน่ห์ เป็นที่ชื่นชอบของชายทั่วไป จะทำงานได้ดีเมื่อทำงานร่วมกับเพศตรงข้าม มีความสุขในชีวิตครอบครัวเป็นอย่างดี

บุคคลใคมีไฝ 2 เม็ด บริเวณแก้มขวา บุคคลนั้นมักจะแต่งงาน 2 ครั้ง

บุคคลใคมีไฝ 2 เม็ด บริเวณแก้มซ้าย มักจะประสบความล้มเหลวในชีวิตครอบครัว (ยิ่งมีไฝ บริเวณนี้มากก็ยิ่งร้ายแรง) และให้ระวังอันตรายจากการเดินทาง ทางน้ำหรือเดินทางต่างเมือง

บุคคลใดมีไฝบริเวณแก้มทั้ง 2 ข้าง มักจะเป็นผู้ร้อนใจในความรัก ครอบครัว มีความต้องการทาง เพศสูง แต่จะมีความสุขในชีวิตครอบครัวดีโดยเฉพาะเมื่อสูงอายุ

บุคคลใดมีไฝบริเวณข้างซ้ายของปาก มักเป็นคนร่าเริงชอบสนุกสนาน ชอบงานรื่นเริง งานสังคม ดนตรี แต่เป็นคนนิสัยดี คบได้

บุคคลใดมีไฝบริเวณข้างขวาของปาก จะมีความสุขในชีวิตแต่งงาน มีลูกมาก และอายุยืน

บุคคลใดมีไฝที่ริมฝีปากบน หากเป็นสตรีจะมีฐานะปานกลางถึงดี แต่จะมีความใคร่มาก หากเป็น บุรุษจะเป็นคนฉลาด มีสติปัญญา

บุคคลใดมีไฝที่ริมฝีปากด้านล่าง มักจะมีมารยาเล่ห์เหลี่ยมในเรื่องรักๆ ใคร่ๆ แต่เมื่อแต่งงานแล้ว จึงจะดี (เลิกไป) มักจะจากบ้านเกิดไปอาศัยที่อื่น หรือโยกย้ายเดินทางไกลเสมอ

เมื่อคุณเกิดอาการ 'แพ้...อาหาร'


ขึ้นชื่อขึ้นมาแบบนี้ ต้องบอกก่อนว่าอาการแพ้อาหารไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคนไป เพียงแต่อาการที่เกิดขึ้น กับคนที่แพ้อาหารนั้น จะมีอาการหลังจากทานอาหาร ชนิดที่แพ้เข้าไปแม้เพียงเล็กน้อยก็เกิดขึ้นได้แล้ว ซึ่งอาจเกิดได้ตั้งแต่นาทีแรกไปถึง 2 ชั่วโมง หลังทานอาหารนั้น ๆ

อาการทั่วไปที่พบได้แก่ ลิ้นชา ผิวหนังบวม ร้อน มีผื่นแดง คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย แต่เนื่องจากร่างกายถูกกระตุ้นจากอาหารที่ทานเข้าไป ทำให้เม็ดเลือดขาวปล่อยสาร “ฮิสตามีน” ออกมา ซึ่งจะไปกระตุ้นให้หลอดเลือดขยายตัวทำให้มีการโป่งพองและบวมร้อนในบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย จนเห็นเป็นผื่นแดงนั่นเอง

สาเหตุสำคัญของการแพ้อาหารนั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ

1) การแพ้อาหารที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน เช่น แพ้ถั่วต่าง ๆ เกิดขึ้นหลังจากทานเข้าไปไม่กี่นาที ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นภายในเวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง

2) การแพ้อาหารที่ไม่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ

2.1 การได้รับพิษจากอาหารต่าง ๆ เช่น หอย หน่อไม้ปี๊บ

2.2 การแพ้น้ำตาลแล็กโทสในนมวัว

การแพ้อาหารนี้ส่วนใหญ่จะเกิดกับคนในครอบครัวที่มีประวัติของการแพ้ ไม่ว่าจะเป็นแพ้อากาศ แพ้ฝุ่นละออง หรือเป็นหอบหืด ก็มีโอกาสเกิดอาการแพ้อาหารได้ง่ายขึ้น

การแพ้อาหารสามารถเกิดขึ้นได้เป็นครั้งคราว แม้ไม่เคยแพ้อาหารชนิดนั้น ๆ มาก่อนก็ตาม อาหารส่วนใหญ่ที่พบว่าทำให้เกิดการแพ้ เช่น อาหารทะเล ถั่วต่าง ๆ ไข่ โกโก้ พืชผักบางชนิด หรือไม่ใช่ตัวอาหารเอง แต่เป็นสารปรุงแต่งอาหาร เช่น ผงชูรส สีย้อมกุ้งแห้ง บางคนเพียงแค่ปลายลิ้นสัมผัสก็เกิดอาการแพ้ บางคนทานอาหารมื้อนั้น ๆ ได้ตามปกติอิ่มแล้วสักครู่จึงเกิดอาการก็มี

อาการแพ้ มักแสดงออกได้ในระบบต่าง ๆ ของร่างกาย 3 ระบบด้วยกัน คือ

1) ทางผิวหนัง คือ เป็นลมพิษ โดยจะมีผื่นขึ้น รู้สึกคัน มีอาการบวม ผิวหนังนูนขึ้นมาเป็นแผ่น ๆ และรู้สึกแสบร้อน

2) ทางระบบทางเดินอาหาร มีอาการปากบวม น้ำลายไหลตลอดเวลา คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย

3) ทางระบบทางเดินหายใจ มีอาการไอ บางรายรุนแรงมากไอจนมีอาการหอบ และถ้าหอบมาก ๆ ก็อาจถึงขั้นเป็นลมหมดสติได้

สำหรับการแพ้อาหารในเด็กนั้น ก็มีอาการในลักษณะเดียวกัน มักเกิดจากการย่อยอาหารไม่สมบูรณ์ เมื่ออาหารบางส่วนที่ย่อยไม่สมบูรณ์ผ่านเข้าไปในกระแสเลือด จะไปกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ขึ้น และการที่เด็กบางคนไม่ได้นมแม่ในระยะ 1 เดือนแรกซึ่งเป็นน้ำนมที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้กับลูก ทำให้เด็กมีอาการแพ้ง่ายขึ้น ซึ่งในบางรายก็ทำให้แพ้อาหารในเวลาต่อมา หรือบางรายก็มีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ง่ายขึ้น

แนวทางการป้องกันและรักษา ต้องบอกว่าวิธีป้องกันอาการแพ้อาหารที่ดีที่สุดคือ การหลีกเลี่ยงอาหารที่แพ้ ควรเตรียมยาแก้แพ้ติดตัวไว้ตลอดโดยเฉพาะเวลาเดินทาง เช่น ยาแก้แพ้จำพวกแอนติฮิสตามีน และ คาลาไมล์-โลชั่น ที่ใช้ทาบรรเทาอาการคัน มีบันทึกเกี่ยวกับการแพ้อาหารของตนเองไว้ในกระเป๋าที่ใช้ติดตัวเสมอสำหรับกรณีฉุกเฉินผู้พบเห็นจะได้ช่วยเหลือได้ทัน

เมื่อเกิดอาการแพ้ ส่วนใหญ่ให้การรักษาตามอาการ ถ้ามีอาการแพ้ทางผิวหนัง ก็ทานยาแก้แพ้ ซึ่งเป็นยาต้านสารฮิสตามีน หรือที่เรียกว่า ยาแอนติฮิสตามีน แต่ถ้ารู้สึกคันมากหรือเป็นลมพิษ ก็ใช้คาลาไมล์โลชั่นทา หรือถ้าอาการรุนแรงถึงขนาดหายใจติดขัด หอบมากอาเจียน หรือท้องเสียรุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล

สำหรับเด็กเล็กที่แพ้นมวัว โอกาสที่จะแพ้นมจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น ๆ ได้เหมือนกัน เช่น นมแพะ นมแกะ จึงควรหันมาใช้นมผงสูตรพิเศษสำหรับทารกที่ทำมาจากถั่วเหลืองแทน และควรปรึกษาแพทย์ก่อนเลือกใช้ กรณีที่มารดายังพอให้นมได้บ้าง มารดาไม่ควรดื่มนมวัวด้วย

ผู้ที่มีอาการแพ้อาหารใด ๆ แล้ว ส่วนใหญ่จะคงเป็นตลอดไป แต่บางรายอาจจะค่อย ๆ ทุเลาลงได้ เช่นจากกินไม่ได้เลย แต่พอลองแตะลิ้นเล็กน้อยไปบ่อย ๆ ก็อาจพอกินได้บ้างเล็กน้อย แต่ถ้าอยากลองจะต้องมียาแก้แพ้เตรียมไว้ด้วย.

รศ.ดร.ปรียา ลีฬหกุล

กลุ่มสาขาวิชาหลักสูตรโภชนศาสตร์

อิชิตันชาเขียว - การย้อนเกล็ดโออิชิที่เจ็บแสบ ภาค6

การทำดีนั้น ไม่ว่าจะตั้งใจทำจากใจจริง หรือมีผลประโยชน์แอบแฝงก็ล้วนดีกว่าคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย ดีกว่าการไม่ได้ออกแรงทำอะไร แล้วไปวิพากษ์วิจารณ์เขา

แต่เมื่อตันเลือกหนทางนี้แล้ว ย่อมไม่อาจหวนกลับ ต้องยอมที่จะถูกสปอตไลท์สาดส่องไปในทุกพื้นที่ที่เดินทางไปถึง หากทำดีมีคนชื่นชม หากทำผิดพลาดก็ย่อมถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์ เพราะเขาคือ “ตัวอย่างที่ดีของสังคม” หรือว่า “ไอดอล” ของคนเป็นจำนวนมาก

เมื่ออิชิตันปรากฎตัวพร้อมด้วยเสียงวิจารณ์ในระดับหนึ่งว่า “ผิดมารยาททางธุรกิจ” แต่น่าจะมีหลายๆคนที่เคยชื่นชมเขา “ผิดหวัง” มากกว่า

จากเรื่องอื่นๆที่เคยย้ำในภารกิจเพื่อสังคมมาก่อนหน้านี้ ตอนนี้กลายเป็นการตอบคำถามว่า

เขาไม่เคยพูดว่าจะไม่กลับมาทำชาเขียวอีกแล้ว

ไม่ได้มีสัญญากับเจ้าสัวเจริญว่าจะไม่ทำชาเขียวมาแข่งด้วย

แค่รับปากว่าจะบริหารให้อย่างน้อย 3 ปี แต่ก็อยู่มา 5 ปี พร้อมดันตลาดชาเขียวมูลค่าถึงหมื่นล้านบาท

อิชิตันไม่ได้สนใจจะเป็นเบอร์หนึ่งของชาเขียว แต่จะเป็นผู้นำของเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ

และพยายามจะทำให้อิชิตันแตกต่างจากโออิชิ เมื่อเวลาตันพูดคำว่าชาเขียวก็จะต้องลงท้ายด้วยคำว่า “ออร์แกนิค” ทุกครั้ง

แต่คำตอบทุกอย่างเป็นการยืนยัน "ระดับความแค้นต่อโออิชิ" ว่าไม่ธรรมดา

ถ้าบอกว่าไม่แค้น แล้วจะทำชาเขียวแข่งกันทำไม

ถ้าแข่งกับตัวเองแล้วจะสร้างโรงงานมูลค่าสองพันกว่าล้านอยู่ไปทำไม ถ้าไม่ใช่เพื่อโค่น "โออิชิ"เ

พราะเมื่อขายชาเขียวเหมือนกัน การที่ยอดขาย "อิชิตัน" เพิ่มขึ้น หรือการที่ยอดขาย "โออิชิ" ลดลงนั่นเอง

ถ้าบอกว่าอยากทำเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ก็มีไปทำเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพอย่างอื่นได้มากมาย

เขาอาจจะต้องตอบคำถามแบบนี้แบบไม่เต็มปากนักในช่วงนี้ แต่สิ่งที่คุณตันอ่านขาดคือนิสัยของคนไทยที่ “ลืมง่าย” เมื่อเปิดตัวไปสักพัก คุณตันก็จะหาEVENTใหม่ๆ มาทำให้คนทั่วไปลืมเรื่องนี้กันหมด อย่างน้อยก็เริ่มด้วยการเปิดตัวที่ราคา 16 บาท ด้วยขนาดที่ย่อมเยาลงนิดหน่อยเหลือ 420 มิลลิลิตร แทรกพื้นที่เข้าไประหว่างขวดเล็ก 10 บาท กับขวดใหญ่ 20 บาท ได้อย่างพอเหมาะพอดี

เมื่อรสชาติมาจากเพื่อนไต้หวันที่ปรุงชาโออิชิ จึงไม่แปลกใจเลยว่าอิชิตันรสน้ำผึ้งมะนาวจะเหมือนกับโออิชิทุกประการ ต่างกันแค่ความหวานเท่านั้น ซึ่งถือว่าคุณตันใช้จุดแข็งของตัวเองที่กำความลับทุกอย่างของโออิชิไว้ แม้กระทั่งสูตรชา มาโจมตีแบรนด์เก่าของตัวเอง

ถ้าสินค้ารสชาติเหมือนกัน ราคาถูกกว่า ใครจะไม่ซื้อครับ

เมื่อตลาดชาเขียวไม่มีผู้เล่นรายใหญ่ที่สร้างความฮือฮาได้เลยในช่วง3-4ปีหลัง ทั้งที่ตลาดมูลค่าเป็นหมื่นล้าน ถ้าตันไม่ทำก็อาจจะมีคนอื่นทำในที่สุด แต่สุดท้ายผู้บริโภคคนไทยโดยส่วนใหญ่ก็คงไม่สนใจที่ใครจะมาแข่งกับใคร หรือแก้แค้นใคร เพราะคนที่ได้ประโยชน์จากการแข่งขันก็คือประชาชนที่จะได้ของถูกลง

น่าแปลกที่คุณตันใช้คำว่าชาเขียวออร์แกนิคได้อย่างมั่นใจมาก โดยที่ไม่ได้ดูส่วนประกอบอื่นๆว่ามาจากธรรมชาติหรือเปล่าหากไปเสริชดูGOOGLEด้วยคำว่า ORGANIC GREENTEA ก็จะเห็นแต่ใบชาเขียวแบบกล่องเท่านั้น หากเป็นชาเขียวออร์แกนิคพร้อมดื่มก็ต้องหมายถึงส่วนผสมทุกอย่างในนั้นต้องออร์แกนิคด้วยถึงจะสามารถใช้คำนี้ได้

ออร์แกนิค ORGANIC แปลง่ายๆว่ามาจากธรรมชาติ 100% จะอันตรายไม่อันตรายก็อีกเรื่องหนึ่ง

ชาเขียวออร์แกนิค หมายถึงต้องปลูกโดยไม่ใช่สารเคมี อย่างที่คุณตันได้โพสรูปไร่ชาเขียวในอินเทอร์เนต

แต่ น้ำตาล มะนาว ฟรุคโตส ที่อยู่ในชาเขียวใช้วิธีปลูกและสกัดมาแบบอินทรีย์หรือเปล่า คุณตันกลับไม่เคยพูดถึง แต่หากเปรียบเทียบง่ายๆ ก็น่าจะบอกได้ว่า เหมือนคุณเอาผักออร์แกนิค ไปต้มมาม่ากิน แล้วคุณจะเรียกมาม่าชามนั้นว่า มาม่าออร์แกนิค หรือมาม่าเพื่อสุขภาพได้หรือเปล่า? ผักที่ดีก็ทำให้มาม่ามีคุณค่ามากขึ้นเท่านั้น ไม่ได้เปลี่ยนองค์ประกอบอื่นของมาม่าให้เป็นออร์แกนิคแต่อย่างใด

ปัจจุบันกระแสรักสุขภาพมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่เครื่องดื่มน้ำอัดลมก็ยังมียอดขายสม่ำเสมอ โดยไม่ต้องโฆษณาเกินจริง เพราะคนมีความรู้ความเข้าใจที่จะบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม ให้ความสดชื่น และพลังงานในยามที่จำเป็นเท่านั้น เหมือนที่ไม่มีใครดื่มน้ำอัดลม กาแฟ แทนน้ำเปล่า อยู่แล้ว
แนวคิดเพื่อสุขภาพเป็นสิ่งที่ดี อิชิตันก็เป็นชาเขียวที่รสชาติดี มีประโยชน์กับร่างกายระดับหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องอวดอ้างสรรพคุณพิเศษใดๆ ก็ขายดีอยู่แล้ว เพราะคุณตันมีต้นทุนทางสังคมที่สูงมากๆอยู่แล้ว เมื่อพูดอะไรแล้ว มีคนเป็นแสนเป็นล้านคนพร้อมจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูดโดยไม่ลังเล

สุดท้ายแล้วสื่อมวลชนก็คงจะไม่เล่นประเด็นนี้ เพราะเป็นน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า สื่อได้เม็ดเงินจากงบโฆษณาและประชาสัมพันธ์ ตันก็ได้พื้นที่ออกสื่อ คงไม่มีใครทำร้ายตัวเองอยู่แล้ว แล้วคนไทยก็คงจะไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ว่ามันออร์แกนิคจริงหรือเปล่า
เพราะคนไทยลืมง่ายจริงๆ


ที่มา www.blogger.com โดย assuming

อิชิตันชาเขียว การย้อนเกล็ดโออิชิที่เจ็บแสบ ภาค5

วันที่ 9 เดือน 9คุณตันลาออกจากโออิชิเสร็จ ก็เตรียมเปิดโครงการแรก ก็คือราเมนแชมเปี้ยนในเดือนพฤศจิกายน 53 ซึ่งรวมเอาสุดยอดราเมน6ร้านมารวมไว้ที่เดียว สร้างจุดชายใหม่ให้พื้่นที่ ARENA 10 ได้ทันที

แม้ว่าจำนวนร้านราเมนในถนนสุขุมวิทจะมีมากกว่า100ร้านแต่นั่นกลับไปไม่ใช่ปัญหาสำหรับตัน ภาสกรนทีเลย ไม่ว่าจะเป็นร้านราเมนที่ดังแค่ไหนสุขุมวิทก็จะมีคนรู้จักและฐานลูกค้าต่อร้านไม่เกิน 2 หมื่นคนต่อปีโดยประมาณ เพราะแต่ละร้านเป็นร้านเล็กๆ และมีการประชาสัมพันธ์แบบทั่วๆไป มีลงแมกกาซีน หนังสือพิมพ์ และลงอินเทอร์เนต ไม่มีอะไรมากกว่านั้น

คติของตันโออิชิคือ “ไม่ต้องกลัวคู่แข่งที่มีอยู่แล้วในสนาม ถ้าเรามั่นใจว่าเราดีกว่าเขา ก็สู้ชนะได้แน่นอน ไม่ว่าจะเข้าสู่สนามช้ากว่าก็ตามที”

ด้วยการตลาดแบบคุณตัน Social Networkสมัยใหม่ และแฟนพันธ์แท้ที่เชื่อในความเป็นแบรนด์ของตัน ทำให้ “ราเมนแชมป์เปี้ยน” มีคนรู้จักระดับหลายแสนคนตั้งแต่ก่อนเเปิดร้าน ดังยิ่งกว่าร้านราเมนใดๆที่เคยเปิดมาในสุขุมวิททั้งหมด

แค่คนวนเวียนมากินเพราะอยาก “ลอง” ก็ทำให้มีคนเข้าเต็มตลอด พร้อมด้วยการตลาดแหวกแนว เช่นการบริจาคเงินที่ขายราเมนได้ทั้งหมดในสัปดาห์นั้นให้ผู้ประสบภัยพิบัติที่ญี่ปุ่นก็สร้างความฮือฮาให้คนไม่ใช่น้อย พร้อมยอดบริจาคที่ UPDATE ทุกวัน ซึ่งจะมีร้านอาหารใดในประเทศไทยที่กล้าทำแบบนี้

ทั้งการจัดเดี่ยวเดี่ยวกับตัน การบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยภาคใต้ เป็นการช่วยโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น ได้ใจคนไปมากมาย

กลับกันในช่วงเวลานั้นก็เกิดโครงการ 9 Challengers ที่เฟ้นหาผู้สมัคร 9 คน คุณสมบัติกว้างๆ จบปริญญาตรีสาขาใดก็ได้ อายุ 20 -35 ปี ไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ ด้วยการส่งคลิปวีดีโอสมัครงานความยาวไม่เกิน 2 นาที เพื่อเป็นพนักงานของบริษัทไม่ตันจำกัดรุ่นแรก โดยทั้ง 9 คนนี้จะได้ทำงานที่บริษัท พร้อมด้วยหุ้นบริษัทมูลค่า 3 แสนบาท

เกิดปรากฎการณ์คนส่งคลิปมาสมัครกับคุณตันเกือบ 2000 คลิป โดยที่คุณตันไม่ต้องใช้เงินลงสื่อเลยแม้แต่บาทเดียว แค่โพสลงในFaceboookเท่านั้นเอง

สร้างความหวังสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่มากมาย ที่อยากจะร่วมงานกับคุณตันที่เป็นฮีโร่ของเขา

มีเงื่อนไขเล็กๆมากมายในการเข้าทีมงานครั้งนี้ ที่น่าสังเกตุ

· ผู้ชนะทั้ง 9 คน จะต้องยึดถือ กฏ ระเบียบ และมาตรฐานการประเมินผล เช่นเดียวกับพนักงานทั่วไปของบริษัทฯ กรณีไม่ปฏิบัติตามกฏ และนโยบายของบริษัท หรือไม่ผ่านการประเมินผลงาน บริษัทฯ สามารถยกเลิกสัญญาจ้างได้ทุกกรณีโดยไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทน หรือรางวัลใดๆ

· เงินเดือน และผลตอบแทนอื่นๆ ขึ้นอยู่กับ ความสามารถและประสบการณ์ของผู้ที่ได้รับการคัดเลือก

· The 9 Challengers ทั้ง 9 คน ที่ผ่านโปรตามระเบียบของบริษัท ในกรณีที่มีการลาออกหลังจากอยู่ครบ 1 ปี จะได้รับเงินมูลค่า 100,000 บาท

· The 9 Challengers ทั้ง 9 คน ที่ผ่านโปรตามระเบียบของบริษัท ในกรณีที่มีอายุการทำงานครบ 3 ปี จะได้รับหุ้นของบริษัทฯ มูลค่า 300,000 บาท ในกรณีที่มีการลาออกหลังจากอยู่ครบ 3 ปี สามารถเก็บหุ้นจำนวน 300,000 บาทไว้ได้

โครงการที่ดู “เปิดกว้าง” กลับมีเงื่อนไขซ้อนกันหลายชั้น บริษัทสามารถกำหนดเงินเดือนคุณได้ ให้คุณไม่ผ่านทดลองงานได้ ยกเลิกสัญญาจ้างได้ทุกกรณี หากลาออกในสองปีแรกจะได้ปีละ 1 แสนบาทนั้น แทบไม่น่าสนใจอะไร เพราะบริษัทกำหนดเงินเดือนเราได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

การที่ปีที่ 3 ได้หุ้นบริษัทมูลค่า 3 แสนบาทนั้น เป็นสิ่งที่ดูหอมหวานที่สุดสำหรับผู้ชนะทั้ง 9 คนที่ได้ร่วมงานกับตัน แต่หากมองลึกลงไปดีๆ รางวัลที่ได้คือหุ้นของบริษัทเมื่อปีที่ 3 ไม่ใช่ปีแรก มูลค่าหุ้นของบริษัทเมื่อปีแรกที่มียอดขายหลักร้อยล้าน กับปีที่สามที่มียอดหลายพันล้าน ย่อมมีค่าต่างกันมหาศาล หุ้น 3 แสนที่ผู้ชนะจะได้นั้น อาจจะมีค่าเพียงหมื่นกว่าบาทในวันนี้ก็เป็นได้

สรุปว่าคุณตันใช้เงินเพียงเล็กน้อยเท่านั้นในการคัดเลือกคนที่ “มีใจ” อยากจะร่วมกับคุณตันจริงๆ แถมยังกำหนดเงื่อนไขที่ “ล็อค” คนเหล่านี้ให้ทำงานให้บริษัทให้เต็มที่ อย่างน้อยก็เป็นระยะเวลา 3 ปี แม้จะไม่มากมาย แต่คุณตันก็ให้ “ความเป็นเจ้าของ” เพื่อให้ทุกคนทุ่มเทให้บริษัทประสบความสำเร็จ

แต่ถ้าจะมองในแง่ลบ หากคุณเป็นพนักงานในบริษัทจำกัดมหาชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ก็จะรู้เลยว่า “ความเป็นเจ้าของ” นั้นเป็นสิ่งธรรมดามากเมื่อมีการซื้อขายในตลาดหุ้น ทั้งคนนอกคนในหากคิดว่าบริษัทจะกำไรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็สามารถซื้อหุ้นได้โดยเสรี ใช้เงินเปิดบัญชีเริ่มต้นที่สามหมื่นบาทก็ทำได้แล้ว

คุณตันก็รับคนเข้ามาทำงานตามปกติ โดยใช้เงื่อนไข และเทคนิคให้ดูน่าสนใจเท่านั้น ไม่ใช่การเปิดโอกาสที่ยิ่งใหญ่ ความสำเร็จในชีวิต ความฝัน อะไรมากมาย ตามที่ผู้สมัครหลายคนเข้าใจอย่างนั้น ก็มีการประเมินงาน มีการยกเลิกสัญญาได้ตามปกติ ส่วนผลตอบแทนและหุ้นที่ได้ก็ถือว่าสมเหตุสมผลสำหรับคนที่จะทุ่มเทให้บริษัท 3 ปีเป็นอย่างน้อย

ตันให้สัมภาษณ์ไว้ก่อนลาออกจากโออิชิว่าจะทำธุรกิจเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพแต่ยังกั๊กๆไม่บอกว่าคืออะไรจนกว่าจะลาออก

หากจะมีใครที่แข่งกับโออิชิได้สูสีที่สุดในประเทศไทย ก็คงเป็นคุณตันเอง เพราะรู้ทั้งตื้นลึกหนาบางทั้งหมดของโออิชิ ที่สำคัญคน คนปรุงสูตรชาเขียวโออิชิเป็นเพื่อนคุณตันนั่นเอง เป็นคนไต้หวัน แล้วบ้านที่เมืองไทยก็อยู่ใกล้ๆคุณตันด้วย

สินค้าแรกจากไม่ตันคืออัญชัญเบอรี่ และตะไคร้กีวี่ในนาม DOUBLE DRINK ที่เป็นเพียงตัวคั่นเวลาเท่านั้น หากเอาชาเขียวมาแข่งกับโออิชิทันทีก็จะดู “น่าเกลียด” ไปที่มาแข่งกับคนที่ยอมเสียเงินซื้อกิจการของตันไป 3300 ล้านบาทถ้วน

เมื่อดอกอัญชัน เบอรี่ ตะไคร้ และกีวี่ไม่ได้ปลูกในวันเดียวฉันใด การเตรียมทำชาเขียวอิชิตันมาสู่ตลาดก็ไม่ได้พึ่งมาทำฉันนั้น ต้องเตรียมที่ดิน พันธ์ชาเขียว ใช้เวลาปลูก เก็บเกี่ยว และทดลองสูตรเป็นปีถึงจะวางจำหน่ายได้ ตันวางเป้าหมายไว้แล้วแน่นอนตั้งแต่ก่อนออกจากโออิชิว่าจะต้องทำชาเขียวมาสู่ตลาด แต่ต้องรอจังหวะและเวลาที่เหมาะสม พร้อมสร้าง “จุดขาย” ใหม่ไม่ให้ซ้ำกับโออิชิของเดิมที่มีอยู่

ชาเขียวออร์แกนิคอิชิตัน โดยคนปรุงสูตรคนเดียวกับโออิชิก็ออกตลาดในที่สุด พร้อมกับรูปของตันในทุกผลิตภัณฑ์ของบริษัท “ไม่ตัน จำกัด” กับแบรนด์ที่เน้นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ซึ่งคำกล่าวอ้างนี้อาจจะย้อนมาทิ่มแทงตัวเขาเองในอนาคตก็ได้



ที่มา www.blogger.com โดย assuming

อิชิตันชาเขียว การย้อนเกล็ดโออิชิที่เจ็บแสบ ภาค4

หากการเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษาโดยทั่วไปก็จะมีการรับน้องใหม่เพื่อให้รู้จักโลกใหม่ในมหาวิทยาลัย การก้าวสู่ความเป็นมหาเศรษฐีระดับพันล้านของตันโออิชิก็คงไม่ต่างกันที่ต้องโดนรุ่นพี่รับน้อง แถมยังเป็นแบบ

“สหบาทา” เลยทีเดียว

เมื่อมูลค่าตลาดชาเขียวมากกว่า 3000 ล้านบาทต่อปี ผู้เล่นในตลาดขนม อาหาร และเครื่องดื่มรายใหญ่ๆในประเทศไทยก็ขอเข้ามามีแข่งในตลาดนี้ด้วย เนื่องจากเห็นถึงกระแสบริโภคชาเขียวที่ยังเติบโตไปได้อีกมาก แถมแต่ละรายก็ถือว่า “ใหม่” ด้วยกันทั้งนั้น

ตัน โดนรุมสกรัมแบบไม่ธรรมดา ด้วยการต้องแข่งกับ 30 แบรนด์ ในตลาดตอนนั้น และหลายรายก็เป็นยักษ์ใหญ่ในวงการ หรือไม่ก็มาพร้อมทุนมหาศาล เบียร์สิงห์ก็ส่ง “โมชิ” ลงมาสู้ ยักษ์ใหญ่เจ้าตำรับอย่าง “คิริน” ที่ลงทุนจ้างซูเปอร์สตาร์อย่างเบิร์ด ธงไชยด้วยมูลค่า 30 ล้านบาทมาสู่

บริษัทใหญ่รายอื่นๆมีสายส่งเป็นของตัวเอง มีเครือข่ายทั่วประเทศ ที่จะนำสินค้าไปวางจำหน่าย แต่ใครๆเวลานั้นก็อยากดื่มแต่ชาเขียว โออิชิ เท่านั้น
สุดท้ายมีการทิ้งไพ่ใบสุดท้ามาด้วยการลดราคาเหลือ 15 บาท (จาก 20 บาท) เพื่อหวังแบ่งมาร์เกตแชร์ แต่ก็ไม่อาจทำให้โออิชิสะดุ้งสะเทือนได้ ยอดขายสมีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะไม่ได้ลดราคาเหมือนเจ้าอื่น
จนต้องมีการเล่นเกมส์ใต้ดินที่ปล่อยข่าวเรื่อง “กรดเกลือ” ในขวดชาเขียวโออิชิที่เรียกว่าหนักหนาสาหัสที่สุดแล้ว

ถึงไม่ได้เรียนพีอาร์มา แต่การแก้เกมส์ของตันในเวลานั้นสุดยอดยิ่งกว่าคัมภีร์ใดๆในโลก ด้วยการให้ลูกชายดื่มชาเขียวโชว์ในวันแถลงข่าวชี้แจง ยอดขายชาเขียวโออิชิกลับมาปกติอีกครั้ง พร้อมกับการโบกมือลาจากสมรภูมิชาเขียวอีกไม่ต่ำกว่า 20 แบรนด์

ตันขึ้นมาเป็นสู่ความเป็นมหาเศรษฐีได้อย่างเต็มภาคภูมิอย่างแท้จริง
หนทางแห่งความร่ำรวยของตันนั้นเป็นการก้าวขึ้นมาแบบแฟร์เพลย์อย่างแท้จริง อีกทั้งยังมีภาพลักษณ์ที่สะอาดสดใสอีกด้วย ต่างจากธุรกิจยักษ์ใหญ่รายอื่นที่ยิ่งใหญ่แต่ก็ต้องมีอะไรไม่ปกติธรรมดาสักอย่างเบื้องหลัง เช่นผูกขาดด้วยสัมปทาน ทุนมหาศาล ขายของมึนเมา หนีภาษี หรือแม้กระทั่งโกง เอาเปรียบคู่แข่งรายเล็กๆ
หลังจากเริ่มวางแผนลาออกจากโออิชิ ภาพที่เติมแบรนด์ตันให้เต็มก็คือ ความเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์ รักครอบครัว และความรับผิดชอบต่อสังคม

ความรักเมีย รักลูกนั้นตันไม่ได้เสแสร้งใดๆ เพราเป็นสิ่งที่ตันทำด้วยความจริงใจมาตลอดชีวิตอยู่แล้ว แต่สิ่งเหล่านี้กลับปรากฎสู่สื่อมากขึ้น ทั้งเรื่องความรัก ลูก เมีย เพื่อเสริมแบรนด์ของตันให้ยิ่งใหญ่ขึ้น
ส่วนเรื่องการทำกิจกรรมเพื่อสังคมนั้นตอบยาก แต่หากดูนักธุรกิจรุ่นเก่าแบบเจ้าสัวเจริญแล้ว เคยเปรยไว้กับคนใกล้ชิดว่า “ธุรกิจเราเป็นธุรกิจบาป ดังนั้นเราต้องพยายามทำบุญเยอะๆ” นี่คือความเข้าใจอย่างลึกซึ้งของเจ้าสัวเจริญ ที่รู้ว่าความร่ำรวยที่ตนได้มา ก็มาจากคนจำนวนมากที่ต้องเดือดร้อนจากของมึนเมา ถึงจะชดเชยไม่ได้ แต่ก็ต้องพยายามทำความดีให้มากๆ
เพียงแต่ไม่ได้ป่าวประกาศเท่านั้นเอง

สไตล์การทำกิจกรรมเพื่อสังคม ของเจ้าสัวและตัน ต่างกันโดยสิ้นเชิง เจ้าสัวสนับสนุนกิจกรรมเพื่อสังคม และสนับสนุนองค์กรการกุศลมากมายในแต่ละปีแบบเงียบๆ โดยที่ไม่ได้มีPAGEของFacebook ปีๆหนึ่งเป็นหลักร้อยล้านบาท
ให้เพราะอยากให้จริงๆ ไม่จำเป็นต้องประกาศ เพราะคนเรานานาจิตตัง
ให้เลือกได้ก็คงไม่มีใครอยากทำธุรกิจที่ผิดศีล ถ้าสังเกตดูเจ้าสัวก็จะนำกำไรของเบียร์ช้างไปลงทุนในสายธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่การขายของมึนเมาอยู่ตลอดเวลา ทั้งการพัฒนาที่ดิน ซื้อโรงแรม ซื้อกิจการอย่างโออิชิ ซื้อเบอร์ลี่ยุกเกอร์ ฯลฯ

ตันเริ่มเกากระแสตลอด ด้วยการไปช่วยทำความสะอาดราชประสงค์หลังจากความวุ่นวายจบลง และผนึกความคิดกับโน้ตเป็นศูนย์อำนวยการชอปปิ้งที่อารีน่า 10 ทั้งแปลก เก๋ สดใหม่ สำหรับกระแสของคนกรุงเทพฯที่อยากช่วยแม่ค้าราชประสงค์ในตอนนั้น ทำให้ได้พื้นที่สื่อในการประชาพันธ์ไปเป็นมูลค่ามหาศาล

ถ้าคิดง่ายๆว่าโฆษณาในรายการสรยุทธมีมูลค่านาทีละ 2 แสนบาท เวลาที่ตันออกอากาศ และถูกสรยุทธ์พูดถึงทุกวันในช่วงน้น คงเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 10 ล้าน ไม่รวมถึงการลงสื่อหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ
ทั้งหมดนี้ตันไม่ต้องเสียค่าโฆษณาแม้แต่บาทเดียว

ถึงจะให้พื้นที่ขายของฟรี แต่ก็ทำให้คนมาที่อารีน่า10มากขึ้น รู้จักมากขึ้น และใช้จ่ายที่สถานที่แห่งนี้มากขึ้น สื่อมวลชนก็ขายข่าวได้เพราะคนชอบ แม่ค้าก็ได้ขายของ ประชาชนก็ดีใจเพราะอยากทำบุญ WIN กันทุกฝ่าย ทุกคนมีแต่ได้ แต่คนที่ได้มากที่สุดน่าจะเป็นตันเอง

ตันทำการกุศลเป็นเหมือน EVENTหนึ่ง มีโครงการ ที่ต้องมีการPR วางแผนโปรโมตระดมทุน ให้ทุกคนมีส่วนร่วม ไม่ต่างจากที่บริษัทยักษ์ใหญ่ทำ แต่เผอิญว่าเมื่อตันเป็น “แบรนด์” และแบรนด์เป็นคนหนึ่งคนไม่ใช่บริษัท จึงดูว่ามันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก

กับโปรเจค “เดี่ยว เดี่ยว กับตัน” เพื่อนำไปสร้างโรงเรียนที่ชลบุรี โดยไม่หักค่าใช้จ่ายใดๆ จากบัตรเข้าชมเลย เพราะคนชื่อตันจะมีไอเดียอะไรพิเศษที่ดึงดูดคนเสมอ
หากบอกว่ารายได้ส่วนหนึ่งของบัตรเข้าชม หรือรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย จะนำไปมอบให้การกุศลก็จะดูธรรมดามากในโลกสมัยปัจจุบัน แต่ตันทำแบบนี้กลายเป็น EVENTที่ดูจริงใจ ทุกคนอยากมีส่วนร่วม และสำคัญคือแบรนด์ของตันก็มีความสมบูรณ์พร้อมทุกด้าน และพร้อมที่จะหลุดออกจากความเป็นโออิชิ ไปสู่อาณาจักรแห่งใหม่ของตัวเองที่ชื่อว่า "บริษัทไม่ตัน จำกัด



ที่มา www.blogger.com โดย assuming